วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย prathaiamata

ประวัติ หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย prathaiamata

         หลวงปู่สงฆ์ เป็นนามที่ ชาวกรุงเทพมหานคร เรียกชื่อท่าน ด้วยความ เคารพ เลื่อมใส ท่านเป็นพระคณาจารย์ สมถวิปัสสนา ที่ชาวจังหวัดชุมพร และชาวกรุงเทพๆ ภูมิใจเป็นหนักหนา หลวงปู่ท่าน มีความเมตตาปรานีแก่ทุกๆคน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ถ้าแม้บุคคล ใดไปขอพรจากท่านแล้ว จะได้รับความสมหวังอย่างมั่นคง ด้วยทุกคนเชื่อว่า ท่านหลวงปู่สงฆ์ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก หลวงปู่สงฆ์ ท่านเป็นคนชาว จังหวัดชุมพร โดยกำเนิด ท่านเกิด ที่หมู่บ้านวิสัยเหนือ อ.สวี จ.ชุมพร เมื่อวันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีขาล พ.ศ.๒๔๓๓ บิดา ชื่อ นางแดง มารดาชื่อ นางนุ้ย มีอาชีพทำนา-ไร่สวน อายุได้ ๑๘ ปี ท่านได้บรรพชาเป็น สามเณร ที่วัดสวี อันเป็นวัดใกล้ๆบ้านเกิดท่าน

         เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ ๒ ปี จึงได้ลาสึก ออกไปช่วยบิดา มารดา ประกอบอาชีพทำงานท้องนาและไร่สวน ครั้นอายุครบอุปสมบท ท่านได้มาฝากตัวแก่พระอุปัชฌาย์ ที่วัดสวี ขอบวชเป็น พระภิกษุสงฆ์ ได้รับความเมตตาจาก พระอาจารย์ชื่น เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า "จันทสโรภิกขุ" หลังจากบวชเป็นพระแล้ว ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดควน อ.สวี จ.ชุมพร ๑ พรรษา ในระหว่างพรรษา ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม จนพอรู้แนวทางการ ดำเนินชีวิตในเพศพรหมจรรย์ ออกพรรษาแล้ว ท่านมีความสนใจทางสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน แต่ในจังหวัดชุมพร ไม่มีพระอาจารย์สอนทางด้านนี้เลย ท่านจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์ -อาจารย์ ออกจากจังหวัดชุมพร มุ่งหาพระอาจารย์สอนกรรมฐานในถิ่นอื่นๆ โดยได้ออกเดินทางไปท่ามกลางป่าเขาอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะท่าน ยังไม่รู้จักคำว่า " เดินธุดงค์" ในสมัยนั้น แต่หลวงปู่สงฆ์ มีความแน่ใจว่า การเดินทางอยู่ในป่าดงพงไพรนี้ จะต้องพบกับ พระผู้ปฏิบัติบ้าง เพราะพระกรรมฐานชอบอยู่ป่าดง มากกว่า อยู่วัดวาอาราม หลวงปู่สงฆ์ รอดพ้นจากอันตรายรอบด้าน เช่น สัตว์ป่า ไข้ป่าอันดุร้ายไปได้ ก็เพราะแรงใจที่มุ่งปฏิบัติธรรม กับพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อพบก็จะมอบตัวเป็น ศิษย์ ขอฝึกอบรมด้วยเท่านั้น

         หลวงปู่สงฆ์ประสบความสมหวัง เมื่อได้ทราบว่า .... พระอาจารย์รอด วัดโต๊ะแซ หรือตอแซ เป็นพระอาจารย์ที่ทรงฌานสมาบัติสูงองค์หนึ่ง ในจังหวัดภูเก็ต ท่านจึงได้ไป ฝากตัวเป็นศิษย์ ขอฝึกอบรม ปฏิบัติพระกรรมฐาน อยู่กับพระอาจารย์รอด ๒ พรรษา หลวงปู่สงฆ์ มีความพากเพียร อย่างคร่ำเคร่ง มีสมาธิแก่กล้า สามารถในทาง ปฏิบัติมากแล้ว ท่านพระอาจารย์รอด ได้ให้ออกเดินธุดงค์ไปอยู่ป่าช้า ตามถ้ำผาป่าดง ต่อไป เพื่อความรุ้แจ้งในจิตใจ และจะได้ปรารภธรรมตามสติปัญญา หลวงปู่สงฆ์เดินธุดงคกรรมฐานไปจนถึงชายแดนด้านมาลายู จากนั้นท่านก็ ได้เดินธุดงค์ ย้อนกลับมาจนถึงจังหวัดเพชรบุรี

         หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านมีความชำนาญในเรื่องสมถกรรมฐานและวิปัสสนา กรรมฐานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยก่อนโน้น ทางภาคใต้ นับตั้งแต่จังหวัดชุมพรลง ไป ครูบาอาจารย์ต่างๆ มักจะสนใจปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้ว เดินจิตเล่นฤทธิ์ กันเสีย โดยส่วนมาก สำนักเรียนวิชาต่างๆ ภายใน(จิต) สำนักเขาอ้อ มีชื่อเสียงมากในเรื่องนี้ แต่ หลวงปู่สงฆ์ ก็ดี หลวงปู่หมุนก็ดี ตามที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านสามารถหัน เข้ามาดำเนินจิตสู่วิปัสสนากรรมฐานเสีย เพราะเป็นหนทางออกจากความยึดมั่น ในอำนาจจิต อำนาจฌานได้อย่างสิ้นเชิง เป็นความจริงดังนี้

         ต่อมาหลวงปู่สงฆ์ ท่านเกิดสติปัญญา มองเห็นภัยในวัฎสงสาร ที่มันเคย แปรปรวน หมุนเวียน ไม่รู้จบ ท่านเกิดเบื่อหน่าย คิดดำเนินชีวิตในป่าดงพงไพร ทำจิต เร่งบำเพ็ญเพียร เพื่อความพ้นทุกข์ การเดินธุดงคกรรมฐานของครูบาอาจารย์นั้น มิใช่ว่าจะเดินไปในที่แห่งหนึ่ง แล้วไปในที่แห่งหนึ่ง พึงรีบเดินเพื่อให้ถึงเร็วๆนั้น หาไม่ แต่การเดินธุดงค์ก็เหมือนการเดินแบบปกติ หรือเดินจงกรมนั่นเอง ท่านเดินอย่างมีสติ .... คือ ขณะที่ก้าวเดินไปนั้น ท่านกำหนดคำบริกรรม หรือพิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ โดยไม่นับก้าวแต่อย่างใด ท่านเดินด้วยสติ แม้อะไรจะเกิดขึ้นมาในช่วงนั้น ท่านก็รู้ชัด ไม่มีอาการของ จิตแส่ส่ายไปมา เพราะสติเป็นกำลังอันสำคัญขณะทำความเพียร เช่นอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านได้อาศัยชีวิตอยู่ในป่าดงเป็นเวลาหลายปี อาศัยโคน ไม้ ถ้ำผาต่างๆ เป็นที่พักผ่อน ไม่มีความอาลัยในชีวิตว่าจะสุข หรือทุกข์ ท่านมุ่งปฏิบัติธรรม เพื่อความรู้ธรรม

         เมื่อรู้ธรรมแล้ว ท่านก็นำธรรมะนั้น มาสอนจิตสอนใจตนเอง ขัดเกลา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นสมบัติประจำสันดานมนุษย์ ให้หลุดให้ลอกออกไปจากจิตใจ ชำระจิตใจด้วยธรรม เพื่อความสะอาดหมดจดแห่งชีวิต ๗ ปี แห่งการทรมานกิเลส ภายในจิตใจของท่าน ซึ่งไม่เคยออกจากป่าสู่เมือง เลย ทำให้สภาพจิตสดใสแจ่มแจ้งในธรรมะ แต่สภาพสังขาร ดูออกจะเป็นฤาษีชีไพร หนวดเครารุงรัง ผมเผ้ายาว จีวร สบง ขาดรุ่งริ่ง นั่งภาวนาในป่าเมืองชุมพร คล้ายกับวาสนาท่านจะต้องมาอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จึงมีชาวบ้านป่า เดินตามนกตัวหนึ่ง ที่ร้องเป็นภาษามนุษย์ว่า " หนักก็วางเสีย ! หนักก็วางเสีย " ชาวบ้านป่า เดินตามนก จนพบหลวงปู่สงฆ์ และได้นิมนต์มาอยู่วัดร้างแห่งนั้น หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีความอดทน ค้นคว้า สัจธรรม ความเป็นจริง ของพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิตเป็นเดิมพัน ๑๐ พรรษา ท่ามกลางป่าดง ท่านอาศัยภูเขาลำเนาไพรมาโดยตลอด การบิณฑบาต ท่านโคจรไปในหมู่บ้านชาวป่า ได้บ้างอดบ้าง ตามอัตภาพ จนมีความพอดีแก่จิตใจ ปล่อยวางของหนักได้หมดสิ้นแล้วอย่างมั่นใจ

         ท่านจึงออกจากป่า สู่วัดร้างแห่งหนึ่ง ท่านได้จำพรรษาก่อสร้างวัดร้างแห่งนั้น จนเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบัน โดยขนานนามว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อ.เมือง จ.ชุมพร หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ในจังหวัดชุมพร บัดนี้ท่านได้วางแล้วซึ่งขันธ์อันหนักหน่วงของท่าน และได้ทิ้งรากฝากความดีงามให้แก่ชนรุ่นหลังระลึกถึง ณ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

สิ่งมงคลและยาวิเศษ

         สิ่งอันเป็นมงคลที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร อนุเคราะห์ชาวบ้านที่ได้รับความทุกข์ร้อน โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เมื่อมาหาท่าน ท่านจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือจนหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยสิ้นเชิง และสิ่งของที่ท่านมอบให้นั้นก็ไม่กี่บาท ขอยกให้เห็นชัดดังนี้ ที่ข้าง ๆ บันไดกุฏิของท่านจะมีตุ่มใส่น้ำมนต์ตั้งไว้ใบหนึ่ง ท่านจะลงมาจากกุฏิทำน้ำมนต์ ในเวลากลางคืนแล้วนำมาใส่ตุ่มไว้ ตอนเช้ามืดอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะลงมาเทใส่ตุ่มที่หมดทุกวัน ๆ น้ำมนต์ในตุ่มนั้นจะมีผู้ที่รู้แหล่งเข้ามาขอตักไปบูชาหรือดื่มกิน น้ำมนต์ของหลวงปู่สงฆ์เป็นสิ่งมงคลที่มีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ สามารถอาราธนาให้เกิดผลในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ทุกประการตามแต่คำอธิษฐานจิตของผู้ใช้ โอ่งน้ำมนต์ของท่านเรียงรายอยู่ตามบันได ทางขึ้นลงกุฏิทั้งด้านซ้ายด้านขวา แท้จริงถ้ามองเผิน ๆ มันจะเป็นโอ่งน้ำล้างเท้า แต่ทว่าไม่ใช่ เพราะคนสมัยนี้สวมรองเท้า ไม่ได้มาเท้าเปล่าแล้วมาล้างเชิงบันได เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าหลวงปู่จะทำน้ำมนต์ มาเทลงในโอ่ง ท่านทำอย่างนี้ทุกวัน

         น้ำมนต์ไล่ผีอย่างเห็นได้ชัด ครั้งหนึ่งมีคนแถวสามแก้วได้พาลูกสาวซึ่งมีอาการเหมือนถูกผีเข้าสิง ดิ้นทุรนทุรายร้องเอะอะเสียงดัง ญาติผู้ชายร่างกายแข็งแรงต้องช่วยกันพามาที่วัด มานั่งรออยู่เชิงบันได เพราะบนกุฏิหลวงปู่นั้น ผู้หญิงขึ้นไม่ได้ แล้วพ่อของเด็กก็ขึ้นไปเล่าอาการให้ฟัง เมื่อได้ฟังอาการแล้วหลวงปู่ก็เดินมาที่หน้ากุฏิมองลงมาที่เด็กสาวคนนั้น ชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น ขณะที่เด็กสาวสะบัดจะให้หลุด ปากก็ร้องเสียงดังเอะอะ หลวงปู่มองดูสักครู่ท่านก็ร้องบอก “นิ่งเสียบ้างซิ”

         เด็กสาวที่ร้องครวญครางส่งเสียงดังก็หยุดชะงักลงทันทีเมื่อสิ้นเสียงหลวงปู่ที่พูดลงมา สักครู่ก็ร้องอีก นายสร้าง คนติดตามหลวงปู่มานานหลายปีได้ยื่นขันน้ำที่ตักจากในโอ่งบนกุฏิส่งให้ หลวงปู่หยิบขันน้ำมาก็เทโครมลงมาทันที ถูกร่างของเด็กสาวคนนั้นอ่อนแรงจนนอนราบเรียบสงบ หลวงปู่หันหลังกลับเข้ากุฏิ สักครู่เด็กสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นงัวเงีย อาการผิดปกติหายไปราวกับปลิดทิ้ง น่าสังเกตตรงที่ว่า น้ำที่นายสร้างตักใส่ขันความจริงเป็นน้ำดื่มกินธรรมดา เมื่อหลวงปู่รับขันมาท่านก็เทโครมทันที ไม่ได้เสกหรือเป่าใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นรูปแบบของคณาจารย์อื่น ๆ จะต้องมีการเสกการเป่าเสียก่อน แต่หลวงปู่ไม่ต้อง ได้มาเททันที

         เรื่องของการใช้น้ำมนต์ไล่ผีเข้าเจ้าสิงของหลวงปู่นั้นโด่งดังอยู่ ดังนั้นน้ำมนต์ของหลวงปู่จึงมีคนต้องการมาก

ยาเส้น

ตามปกติหลวงปู่สงฆ์ท่านชอบใช้ยาเส้นสีปากแล้วอมเอาไว้ ดังนั้นยาเส้นที่ท่านใช้แล้วเหล่านั้น จะกลับกลายเป็นของวิเศษ เป็นของที่มีมงคลศักดิ์สิทธิ์ คือ กลายเป็นของขลังอย่างยอดเยี่ยม สมัยก่อนนั้น คนที่ไปวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจะหายาเส้น ไปสักจำนวนหนึ่ง บางคนก็เอาไปเป็นห่อ แล้วก็ให้หลวงพ่อเสกให้ต่อจากนั้นก็นำมาเป็นวัตถุมงคลติดตัว ต่อมาทางวัดมีความคิดดีนำเอายาเส้นอัดพลาสติกห้อยคอ ทำเหมือนกับลูกอม ปิดทองอีกด้วย เพราะยาเส้นโด่งดังและเป็นที่ต้องการของผู้ที่เข้าวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เรื่องมันมีอยู่ ค่อนข้างเกรียวกราวในชุมพร คือ ครั้งหนึ่ง ได้มีคนมาหาหลวงปู่ ท่านก็มอบยาเส้นไปให้ ยาเส้นนี้เดิมทีเป็นของใช้ประจำวันของหลวงปู่ ท่านเอามาสีฟัน คนที่เคารพนับถือเห็นว่าอะไรก็ตามที่ท่านใช้ย่อมจะเป็นมงคลทั้งสิ้น ก็เลยขอยาเส้นท่านไป เมื่อได้แล้วก็นำไปไว้ในเซฟ รวมกับเอกสารและของมีค่า เขาถือว่า ยาเส้นของหลวงปู่ เป็นของมีค่าด้วยชนิดหนึ่งต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี หลังจากนั้นไม่นานนักขโมยเกิดเข้าบ้านชายคนนี้ เมื่อมันเปิดเซฟออกมา มันก็เบือนหน้า เพราะในเซฟไม่มีสมบัติอะไรเลย ภายในเซฟมีแต่ยาเส้นกองเต็มไปหมดไม่มีของมีค่า

         แต่แล้วคนพวกนี้ก็ไปไม่รอด โดนจับได้ ของกลางไม่มีอะไร เพราะมันไม่ได้อะไรไปเลย บอกกับตำรวจเพียงว่า“ในเซฟมีแต่ยาเส้น ใครจะเอาไปทำไม” ความจริงยาเส้นในเซฟนั้นมีเพียงก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น แปลกใจทำไมมันจึงมองเห็นว่ามีมากมายไปได้หรือจะเป็นเพราะ อภินิหารยาเส้นมงคลของหลวงปู่ ยาเส้นของหลวงปู่นั้นแท้จริงก็คือ ยาเส้นที่หลวงปู่ชอบอมเอาไว้ หรือเรียกกันแบบภาษากลางว่า ถุนยา คือเอายาเส้นใส่ปากอมเอาไว้ เมื่อมีคนอยากได้ บางคนขอเอาจากปากท่านเลยก็มี ท่านก็คายออกใส่มือที่แบรออยู่

น้ำปลา...ยาวิเศษ

         เรื่องนี้ได้ทราบจากชาวบ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อหลายปีมาแล้วว่า เขาปวดท้องมานาน ๑๐ กว่าปี ไปรักษาที่ไหนตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เสียเงินไปเป็นแสนบาท นายแพทย์เก่งขนาดไหนก็รักษามาแล้ว ที่ไหนว่าเก่ง ๆ พอเจอโรคของบุคคลนี้เข้า ยอม กลัว รักษาไม่หาย ต่อมาได้ยินเขาเล่าลือว่าทางจังหวัดชุมพรมีพระที่วิเศษรูปหนึ่ง เคยรักษาโรคมาเป็นพันๆ คน และก็หายจนหมดสิ้นทุกคนคนป่วยจึงได้หอบสังขารชนิดผอมติดกระดูกมาหา หลวงปู่สงฆ์ นี่แหละ ทันทีที่เห็นหน้าหลวงปู่สงฆ์ คนป่วยก็มีความรู้สึกศรัทธาอย่างมากมาย ขนลุกขนพองอยู่ตลอดเวลา แม้ท่านจะกลับเข้ากุฏิไปแล้วก็ตาม ศิษย์ของท่านจึงนำน้ำปลาไปให้ท่านเพ่งกระแสจิตให้สัก ๑๐ นาที แล้วนำน้ำปลานั้นมาให้และบอกว่าให้กินน้ำปลานี้ ยาอื่นท่านบอกว่าไม่ต้องกินแล้ว ถึงกินก็ไม่หาย ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่สงฆ์ หญิงคนนั้นจึงเปิดขวดน้ำปลาดื่มเข้าไป แม้ว่าน้ำปลาจะมีรสเค็มจริงอยู่ แต่เวลาน้ำปลาผ่านลำคอไปแล้ว รู้สึกเย็น ๆ พอไปถึงท้องแล้วอาการปวดท้องเสียด ๆ นั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เกิดขึ้นอีกเลย เกิดความตื้นตันขึ้นมา ดื่มเข้าไปอีกต่อหน้าลูกศิษย์หลวงปู่สงฆ์ มีอาการยิ้มแย้มฉายให้เห็นท่าทีว่า อาการภายในสงบ ภายนอกก็แจ่มใส ผู้ป่วยนั้นก็ก้มลงกราบตรงเชิงบันไดกุฏิของหลวงปู่สงฆ์ แล้วได้ร่วมทำบุญกับวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยด้วยความศรัทธาแล้วจึงลากลับบ้านของตน

         สำหรับชาวบ้านจะนำน้ำปลาเอามาให้หลวงปู่สงฆ์เสกเป่าเป็นมงคลขึ้น เสร็จพิธีแล้วน้ำปลาจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีความขลังในการรักษาโรคผิวหนัง แผลเน่าเปื่อยได้ชะงัดดีนัก โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติด น้ำปลาของหลวงปู่สงฆ์จะรักษาได้เป็นอย่างดี นับเป็นสิ่งมงคลในการรักษาโรคภัยอย่างไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อน

น้ำล้างบาตร

น้ำล้างบาตร นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านจะเอาน้ำใส่บาตรเพื่อล้าง ผู้ประสงค์ก็จะคอยรับน้ำล้างบาตรกัน เมื่อผู้ใดได้น้ำล้างก้นบาตรแล้ว ก็จะนำเอาไปอธิษฐานบารมีเป็นที่พึ่ง เพื่อนำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้วก็ได้รับความสำเร็จทั่วหน้า

         เรื่องน้ำล้างบาตรของหลวงปู่สงฆ์ นี้ ก็มีเรื่องเล่ากันว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่ง มีกิจการโรงแรมในจังหวัดชุมพร ได้เดินทางมาที่ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย และได้ขอน้ำล้างก้นบาตรจากหลวงปู่สงฆ์ เพื่อจะเอาไปแก้โรคภัยไข้เจ็บชนิดเรื้อรังที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั้น เมื่อได้น้ำก้นบาตรใส่ขันใบใหญ่แล้ว เธอก็นั่งรถกลับจังหวัดชุมพร แต่ขณะนั่งรถมาระหว่างทางเธอได้พิจารณาดูน้ำล้างบาตรในขันที่ใส่มา เห็นเม็ดข้าวขาว ๆ และชิ้นเศษอาหาร ลอยปะปนอยู่ ดูสกปรกน่ารังเกียจ ก็เกิดเสื่อมความศรัทธาขึ้นมา และไม่เชื่อว่าน้ำล้างก้นบาตร นี้จะรักษาโรคได้จริง คิดได้ดังนั้นก็หยิบยกขึ้นมาเทลงข้างทางเสีย แล้วก็นั่งรถกลับมาถึงบ้าน คืนนั้นขณะกำลังนอนหลับอยู่ พอเริ่มเคลิ้ม ๆ หลับได้นิดเดียวก็รู้สึกคันระยิบระยับไปทั้งตัวเป็นที่น่าสงสัยนัก เธอผู้นั้นจึงลุกขึ้นไปเปิดไฟดูก็พบว่า หนอนตัวขาว ๆ จำนวนมากมาย ไต่ตามตัว และที่นอนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด สตรีผู้นั้นตกใจและขยะแขยงแทบเป็นลม จึงร้องเรียกคนรับใช้ให้มาช่วยกันกวาดเอาตัวหนอนขาว ๆ เหล่านั้นออกมาจากห้องไปทิ้งเสีย สตรีผู้นั้นก็มิได้สนใจคิดอะไร ล้มตัวลงนอนต่อไป พอเกือบจะเคลิ้มๆ ได้สักเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกว่าหนอนยังมีหลงเหลืออยู่อีกแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก จึงรีบเปิดไฟฟ้าขึ้นดู ทีนี้พบหนอนสีขาวๆ มากมายกว่าเก่า มีขนขึ้นเต็มตัว

         สตรีผู้นั้นเกิดความกลัวสุดขีด จึงวิ่งหนีออกมานอกห้องนอน แล้วเรียกคนใช้ออกมาให้กวาดหนอนไปทิ้งอีก คนใช้ทุกคนรีบกวาดหนอนตัวขาวๆ นั้นมารวม ๆ กัน เพราะครั้งนี้ดูมันคลานกันเต็มห้องไปหมด แต่ยังมิได้เอาไปทิ้งก็เกิดเหตุที่ทำให้ตกตะลึงอยู่ กับที่ฝูงหนอนดังกล่าวกลับกลายเป็นเมล็ดข้าวสารขาว ๆ ไปทั้งหมด แม้จะเป็นเมล็ดข้าวสารก็จริง แต่ ใจยังหวาดผวาด้วยความอัศจรรย์นั้นอยู่ ครั้นแล้วสตรีผู้นั้น เมื่อหายจากอาการตกตะลึง ก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร รู้สึกสำนึกว่าตนเองได้ทำความผิดไว้อย่างมหันต์ที่คิดลบหลู่ดูหมิ่น น้ำล้างก้นบาตร ของ หลวงปู่สงฆ์เมื่อตอนกลางวันนี้ โดยนำน้ำก้นบาตรเททิ้งข้างทาง ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชา กล่าวคำอโหสิกรรมโทษที่ตนล่วงเกินด้วยความเกรงกลัว จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีหนอนมารบกวนอีกเลย สามารถนอนหลับได้อย่างสบายตลอดรุ่งเช้า

กวางน้อย

         มีชาวบ้านคนหนึ่งได้นำลูกกวางมาถวายให้หลวงปู่ เป็นลูกกวางตัวผู้ ยึดถือหลักเอาไว้อย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ตัวเมียท่านจะไม่เลี้ยงเลย กวางน้อยตัวนี้กำลังซน หลวงปู่ก็เอาชายจีวรที่ท่านฉีกมาผูกคอไว้ มันก็เที่ยวของมันไปตามประสา เพราะไม่ได้ผูกมัดแต่อย่างใด บางครั้งไปกินพืชผักของใครเข้า เจ้าของโกรธไล่ตี มันก็วิ่งหนีกลับเข้าวัด เพราะความเกเรซุกซนของมันนี่แหละ โดนดีเข้าจนได้ มีคนเอาปืนลูกซองยิงมัน แต่ทว่าด้าน ยิงไม่ออกหลายครั้ง จนลือกันว่า กวางตัวนี้หนังมันดี ยิงไม่ออก วันหนึ่งมันออกไปกินยอดพลูของครูคนหนึ่งเข้าที่บ้านข้างวัด ครูคนนั้นก็เอาไม้ไล่ตี ปากก็ตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตกกลางคืน กวางตัวนี้ ชื่อไอ้น้อย ก็แอบเข้ามากินยอดพลูที่เหลือหมดที่ปลูกเอาไว้ ครูนั้นโกรธมาก มาเล่าเรื่องแบบฟ้องหลวงปู่ ท่านก็หัวเราะพูดลอย ๆ ว่า “ก็ครูอยากไปด่ามันทำไม ไอ้น้อยไม่ชอบให้ใครด่า” ครูเก็บเอาความแค้นไว้ในอกเงียบ ๆ หลังจากนั้นได้ไปติดต่อกับคนรับซื้อสัตว์ป่า เพื่อจะขโมยไอ้น้อยกวางหลวงปู่มาขาย สมคบกับอีกคนหนึ่งเตรียมขโมยไอ้น้อย แล้ววันนั้นไอ้น้อยก็รับกรรม ถูกจับตัวเอาขึ้นบนรถไปหมายจะนำไปขายในกรุงเทพ ฯ บนรถบรรทุกไอ้น้อยมานั้นมีสัตว์ป่าอีกหลายตัวรวมอยู่ด้วย รถได้แล่นออกมาจากชุมพรจวนจะถึงเขาหินช้าง เกิดยางแตก กำลังเปลี่ยนยางอยู่นั้น ไอ้น้อยกวางหลวงปู่ก็หลุดหนีออกมาได้ ไอ้น้อยได้ไปเที่ยวอยู่แถว ๆ พ่อตาหินช้าง บ้านยายไท แถวน้ำตกกะเปาะอำเภอท่าแซะ อยู่ระยะหนึ่ง

         จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ไอ้น้อย กำลังเที่ยวหาอาหารอยู่ในเวลาเช้า ไอ้น้อย หารู้ตัวไม่ว่า ความตายกำลังจะมาเยือนมันอยู่แล้ว ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินเล็มยอดไม้อยู่นั้น ก็ได้มีชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า นายหวิน กำลังจะยัดเยียดความตายให้กับไอ้น้อย ด้วยอาวุธปืน นายหวินได้สับไกปืน เพื่อทีหวังจะล้มไอ้น้อยให้ได้ แต่ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้ว กระสุนของนายหวินก็ไม่ระเบิด แต่ทำไมจึงทำอะไรไอ้น้อยไม่ได้ “มันกวางอะไร กวางของใคร ทำไม่จึงยิงไม่ออก แปลก” นายหวินรำพึงรำพันอยู่ในใจ ขณะที่นายหวินครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาไปเหลือบเป็นผ้าสีเหลือง คือผ้าพระผูกอยู่ที่คอของไอ้น้อย ด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเอง ประกอบกับดวงของได้น้อยมันถึงฆาต เหมือนกับคำที่กล่าวว่า“ถึงคราวตายแน่นอน ทางแก้ไม่มี ตายแน่เราหนีกันไปไม่พ้น จะเป็นราชาหรือมหาโจร ต้องทิ้งกายสกนธ์สู่เชิงตะกอน” นายหวินได้เข้าไปปลดผ้าสีเหลืองที่ผูกคอไอ้น้อยไว้ ซึ่งเป็นเศษผ้าจีวรของหลวงปู่ออกจากคอไอ้น้อย

         อนิจจาความตายกำลังจะมาเยือน ไอ้น้อย เมื่อดวงมันถึงฆาต มันก็ทำอะไรไม่ถูก ธรรมดาแล้วมันไม่ค่อยจะให้ใครเข้าใกล้ตัวมัน ยกเว้น หลวงปู่ และกับคนที่มันรู้จักมักคุ้นเท่านั้น แต่เพราะสัตว์มันไว้ใจคน หารู้ไม่ว่า คน ๆ นั้นกำลังจะหยิบยื่นความตายให้ นายหวินปลดผ้าเหลืองออกจากคอไอ้น้อยแล้วก็รีบวิ่งกลับไปยังบริเวณที่ได้เอาปืนพิงไว้กับต้นไม้ใหญ่ เบนลำกล้องปืนกลับมาสู่ตัวไอ้น้อยอีกครั้ง พร้อมกับลั่นไก “ปัง” เสียงปืนดังแน่นคับราวป่า ผู้ชำนาญเสียงปืน ถ้าได้ยินเสียงก็บอกได้ว่า กระสุนเข้าเป้าอย่างแน่นอน ไอ้น้อยล้มทั้งยืน ในขณะที่ปากของมันยังคาบยอดไม้อ่อนอยู่ แต่ว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้เคี้ยวอีกต่อไป เลือดแดงฉานทะลักออกมาจากท้องราวกับสายน้ำ ตาของไอ้น้อยค้าง แต่หากมันมีความรู้สึกสักนิด ก็จะสงสัยว่า “ทำไมวันนี้จึงสั้นเสียเหลือเกิน เรากินอาหารมื้อเช้ายังไม่ทันอิ่ม ก็มืดเสียแล้ว” โอ้อนิจจาความตายไม่เคยเว้นใคร แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ฝ่ายนายหวิน มือเพชฌฆาต ดีอกดีใจที่ได้ล้มไอ้น้อยลงได้ใครล่ะจะแน่กว่าเรา ภรรยาของหวิน อยู่ที่บ้านตกใจ โดยไม่รู้สาเหตุ ตะโกนบอกเพื่อนบ้านใกล้เคียงว่า "หวินยิงกวางหลวงปู่ หวินยิงกวางหลวงปู่" ทั้ง ๆ ที่มิเห็นกับตา เพื่อนบ้าน เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พากันไปดู พบหวินกำลังชำแหละเนื้อกวางตัวนั้นอยู่ บางคนก็คิดอยากจะช่วย แต่ในขณะนั้นเอง กลิ่นอุจจาระก็ส่งกลิ่นตลบอบอวน โดยไม่ทราบสาเหตุที่ไปที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ หวินและเพื่อนบ้านช่วยกันตรวจสอบ ก็พบว่ากลิ่นนั้นมาจากซากกวางที่ถูกยิงนั้นเอง ในที่สุด ก็ไม่มีใครเอาเนื้อนั้นไปได้เลยแม้แต่น้อย เพราะเหมือนจะเหม็นจนไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง

         ฝ่ายหวินเอง เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นก็เริ่มตกใจกลัวจนใจเตลิดเปิดเปิง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “กวางที่ตัวเองล้มกับมือ กลายเป็นอุจจาระไปได้อย่างไร” สติวิปลาสขึ้นในบัดดลนั้นเอง วิ่งเตลิดเปิดเปิงกลับบ้านไม่ถูก เพื่อนบ้านกับภรรยาของหวิน เมื่อทราบดังนั้นจึงได้ไปบอกกล่าวขอโทษหลวงปู่ ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยว่า “หวินมันยิงกวางเสียแล้วล่ะ หลวงปู่” หลวงปู่ก็กล่าวว่า “คนยิงมันบ้า”  นายหวินก็บ้าไม่ได้สติตั้งแต่บัดนั้นจนทุกวันนี้ จะด้วยกรรมที่หวินทำลงไปหรืออะไร เราเองก็ไม่ทราบได้ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนายหวิน เพราะนายหวินไปยิงกวางของหลวงปู่ตาย

กิจวัตรของหลวงปู่สงฆ์ จันทสโร

เวลา ๐๔.๐๐ น.     ไหว้พระทำวัตรเช้า

เวลา ๐๖.๑๐ น.     ท่านออกจากห้องเตรียมที่จะออกบิณฑบาต ในระหว่างนั้น สามเณรอุปัฏฐากจะขึ้นปฏิบัติและญาติโยมมากราบขอพร

เวลา ๐๗.๐๐ น.     ออกบิณฑบาต เมื่อกลับมาแล้วท่านเข้าห้องไหว้พระอีก

เวลา ๐๙.๐๐ น.     ลงหอฉัน เพื่อฉันภัตตาหาร เมื่อฉันภัตตาหารและให้พรเรียบร้อย ท่านจะพูดคุยกับญาติโยมที่มาทำบุญ หลังจากนั้นท่านกลับขึ้นกุฏิและต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่มาจากใกล้และไกลพอสมควร แล้วเข้าห้องพักผ่อน

เวลา ๑๒.๓๐ น.     ออกจากห้อง เพื่อต้อนรับศรัทธาญาติโยมที่มาขอพร

เวลา ๑๔.๐๐ น.     ท่านสรงน้ำแล้วเข้าห้องไหว้พระสวดมนต์

เวลา ๑๖.๐๐ น.     ออกจากห้องต้อนรับญาติโยมที่มาขอพร

เวลา ๑๘.๐๐ น.     เข้าห้องทำกิจภาวนา และให้ภิกษุสามเณรทั้งหมดต้องทำกิจภาวนาด้วย จนถึงเวลา ๒๐.๐๐ น.

เวลา ๒๐.๐๐ น.     เสร็จจากทำกิจภาวนาแล้ว ออกจากห้องให้ภิกษุสามเณรขึ้นปรนนิบัติ และเป็นโอกาสที่ท่านให้โอวาทแนะ นำ สั่งสอน

เวลา ๒๒.๐๐ น.     เข้าห้องพักผ่อน

เวลา ๒๔.๐๐ น.     ล่วงจากนี้ไปแล้วท่านจะทำกิจภาวนาไปจนถึงเวลา ๐๔.๐๐ น. อนึ่งถ้าเป็นวันพระกลางเดือนและ สิ้นเดือน เวลา ๑๓.๐๐ น.ท่านจะลงอุโบสถพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อสวดและฟังพระปาฏิโมกข์โดยมิได้ขาด

หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร


         ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำเดือน ๘ ปีกุน ก่อนหน้านี้หนึ่งวันหลวงปู่ได้ให้คนไปตามหลวงพ่อคงจากวัดวิสัยซึ่งเป็นหลานชายของท่าน ให้มาพบ และกล่าวว่า เมื่อท่านสิ้น ขอมอบบาตร ไม้เท้า และ ย่ามให้แก่หลวงพ่อคงนำไปเก็บรักษาไว้ด้วย

         วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตอนเช้าหลวงปู่ท่านยังรู้สึกตัว มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขนท่าน นอนสงบอยู่บนเตียงที่กุฏิ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่มาปรนนิบัติหลวงปู่เห็นท่านนอนนิ่ง แต่ทว่าน้ำเกลือไหลเปรอะออกมาจึงได้ไปตามหมอมาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปอย่างสงบเสียแล้ว น้ำไม่ได้เข้าสู่ร่างกายเพราะลมหายของหลวงปู่หยุด น้ำเกลือจึงไหลล้นออกมาไม่อาจเข้าร่างกาย หลวงปู่จากไปอย่างสงบไม่ทราบเวลาที่แน่นอนเพราะท่านนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่กระวนกระวายจนผิดสังเกต

         บรรยากาศ ณ เวลานั้นช่างเงียบเชียบ แม้แต่สายลมยังหยุดนิ่ง ใบไม้ไม่ไหวติงไม่มีแม้แต่เสียงนก เสียงกา ร้องเหมือนปกติเช่นเคย แสงแดดส่องประกายเหลืองจ้าผิดปกติจากทุกๆ วัน ทุกสรรพเสียงเงียบเชียบ ไม่เพียงแต่เสียงฆ้องกลองดังระงมไปทั่วซึ่งเป็นการบอกเหตุให้ชาวบ้านได้รับรู้ บ้างต่างก็พากันงุนงงเต็มไปด้วยความสงสัยสับสน มีบ้างที่รู้ถึงข่าวการอาพาธของหลวงปู่ก็เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ถึงลางบอกเหตุของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ดังนั้นทุกคนในบริเวณที่รัศมีเสียงฆ้องกลอง สามารถดังถึง ก็รีบมาที่วัดเป็นการด่วน บางคนทิ้งจอบทิ้งเสียมไว้กลางทุ่งนาโดยมิได้นึกถึงสิ่งใด เพราะตอนนี้ทุกคนต่างต้องการมาให้ถึงวัดโดยเร็ว

         เมื่อมาถึงในบริเวณวัด พอทราบว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปเสียแล้ว สร้างความเศร้าโศกเสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ฟูมฟายบางคนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ด้วยคิดว่าตอนนี้ที่พึ่งทางใจได้จากไปเสียแล้ว ต่อไปนี้จะพึ่งใคร เพราะตอนสมัยหลวงปู่ท่านยังอยู่ ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดือดร้อนด้วยเรื่องอันใดก็จะได้หลวงปู่เป็นที่พึ่งปัดเป่าทุกข์ร้อนต่างๆ ให้สิ้นไป ต่อจากนี้ไปจะหันหาไปพึ่งใครได้อีกเล่า ยิ่งทำให้บรรยากาศในบริเวณวัดวังเวงยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปทราบข่าวคราว ต่างก็พากันมาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อย่างเนืองแน่นจากทุกสารทิศเพื่อกราบนมัสการสรีระและบำเพ็ญกุศล ถวายแด่ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร

         ตั้งแต่เช้าจรดค่ำคืน ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บ้างต้องจอดรถยนต์เดินกันเป็นระยะทาง ๒ - ๓กิโลเมตร ในระหว่างงานมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือ หาใช่เพียงแต่ผู้คนไม่ที่มานมัสการสรีระของหลวงปู่ แม้แต่เต่าที่ท่านได้เคยเลี้ยงและได้ปล่อยไปแล้ว ยังกลับมาที่วัด เสมือนว่ามันจะทราบว่าหลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว ในวันที่เต่าปรากฏนั้นเกิดพายุหมุนเล่นเอาสังกะสีหลังคาโรงที่สร้างเอาไว้สำหรับรองรับคนที่มาฟังเทศน์ ฟังการสวดพระอภิธรรม กระจัดกระจาย สังกะสีปลิวว่อน แต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด เต่าตัวนี้มีขนาดประมาณ ๑๕ - ๒๐ นิ้วเห็นจะได้ เมื่อมาถึงที่ศาลา มีคนอุ้มเอาขึ้นไปวางไว้ตรงหน้าหีบศพของหลวงปู่ เมื่อวางเสร็จเต่าตัวนี้ก็ทำหัวผงกๆ จากนั้นก็นั่ง มีคนเห็นเต่าน้ำตาไหล อาบแก้มทั้งสอง ข่าวนี้กระจายไปทั่วเมืองชุมพร คนก็เลยมาดูเต่ากันมากขึ้น

         สิ่งที่น่าประหลาด คือ เมื่อนำเต่าออกมาถ่ายรูป หรือจะนำออกมาวางในลักษณะใดก็ตาม พอวางเสร็จสักครู่ เต่าก็จะหันหัว กลับไปที่หีบศพทุกครั้ง แล้วกลับไปนอนนิ่งใต้หีบศพของหลวงปู่ ความแปลกยังมีอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ จากจำนวนเต่า ๑ ตัว แรก กลายเป็น ๙ ตัว เพราะมีเต่าเพิ่มมาอีก บางตัวมาปรากฏอยู่หน้าลานวัด บางตัวชาวบ้านจับเอา มาส่งที่วัด เพราะ เขาเล่าว่าตอนขณะที่พวกเขาจะเดินทางมานมัสการหลวงปู่ เต่าได้ออกมาขวางหน้ารถ คล้ายกับว่าจะให้พามันมานมัสการหลวงปู่ด้วยนั่นเอง ที่เป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่า เมื่อตอนหลวงปู่ยังอยู่นั้น หากชาวบ้านพบเต่าคลานอยู่หรือว่าจับได้ ก็จะนำมาถวายหลวงปู่ที่วัด ท่านก็จะเอาสีเขียนทาลงไป เขียนชื่อท่านบ้าง เขียนชื่อวัดบ้าง บางตัวก็จะมีอักขระขอม เป็นที่รู้กันว่านี่คือเต่าของหลวงปู่ เป็นเต่าพันธุ์เต่าหก มีลักษณะ ๖ ขา เป็นเต่าพันธุ์เฉพาะถิ่นในแถบเมืองชุมพรนี้ บางตัวหากจะยกต้องให้ผู้ชายกำลังดีๆ ถึง ๔ คนจึงจะยกได้

         มีเรื่องแปลกอีกว่า หลวงปู่ไปเข้าฝันชายคนหนึ่งแถวบ้านสามแก้วว่าให้ไปช่วยลูกของท่านที่ตกบ่อด้วย ชายคนนั้นไปดูตามบ่อต่างๆ ก็พบเต่ากำลังตะเกียกตะกาย จะขึ้นจากบ่อมาให้ได้ เขาก็ช่วยมาจากบ่อ พอดูที่กระดองเต่าก็เห็นอักษรเขียนว่า ว.ศ.ล. คือ เป็นตัวย่อของวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั่นเอง ก็เลยนำมาที่วัด มีชาวบ้านที่ได้มานมัสการหลวงปู่ เมื่อมาพบเห็นเต่าก็นำไปตีเป็นตัวเลข นำไปแทงหวย ในงวดวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ถูกกันเกือบทั้งเมืองชุมพร ข่าวเรื่องเต่าของหลวงปู่เป็นที่เกรียวกราวมากในจังหวัดชุมพร

หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร

         ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำ เดือน ๘ ปีกุน เวลา ประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ท่านก็ได้มรณภาพ รวมสิริอายุได้ ๙๔ ปี ๓ เดือน ๒ วัน รวมท่านอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยเป็นเวลา ๖๔ ปี ทางศิษยานุศิษย์ ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่ ตั้งแต่วัน ๒ - ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และได้ทำพิธีปิดศพในคืนวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากนั้นทุกๆ คืนจะมีการสวดพระอภิธรรมโดยพระภิกษุภายในวัด และโดยเฉพาะในวันอังคาร ซึ่งกับวันคล้ายวันเกิด และวันมรณภาพ ของหลวงปู่ท่าน จะมีการสวดพิเศษคือ การสวดในบท อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร สลับกันไปทุกๆ วันอังคาร ของแต่ละสัปดาห์ และจะมีการสวดครบรอบวันมรณภาพในแต่ละปี โดยตรงกับ วันที่ ๒ สิงหาคม ของทุกๆ ปี จะมีการนิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในจังหวัดชุมพร มาสวดเป็นประจำทุกๆ ปี

ปัจจุบัน สรีระของหลวงปู่ได้ประดิษฐานอยู่ บนศาลาธรรมสังเวช เพี่อให้พุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์ได้กราบสักการบูชาตลอดไป

คำให้พรของหลวงปู่ที่ได้ยินบ่อยครั้ง จงบังเกิดมีแด่ญาติโยมทุกๆ ท่านเทอญ




วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวิติ พ่อท่านเขียว วัดหลงบล prathaiamata

ประวิติ พ่อท่านเขียว  วัดหลงบล
"หลวงปู่เขียว นะโมนมันสการพระอินทมุนี โพธิสัตโต อาราธนานังนะมามิหัง"

หลวงปู่เขียว วัดหรงบล ประวัติหลวงปู่เขียวและพระเครื่องของ "หลวงปู่เขียว" เป็นที่ต้องการอย่างมากเนื่องจากพุทธคุณของ หลวงปู่เขียว วัดหรงบน เด่นด้านคงกระพันมหาอุด

ประวัติหลวงปู่เขียว วัดหรงบล จ.นครศรีธรรมราช
หลวงปู่เขียว ถือกำเนิดขึ้นในตะกูลชาวนา เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้นแรมไม่ปรากฏ เดือนยี่ ปีมะเมีย พ.ศ.2424 บิดาชื่อนาย ปลอด มารดาชื่อแป้น มีพี่น้อง 4คน ชาย2หญิง2 หลวงปู่เขียวเป็นพี่ชาวคนโต น้องชายชื่อนายพลับ น้องสาวชื่อนางเอียด และนางปาน น้องชายและน้องสาวเสียชีวิตก่อนท่าน

การศึกษา
     เมื่อยังเยาว์วัย หลวงปู่เขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ

อุปสมบท
     พ่อท่านเขียว วัดหรงบน ท่านตัดสินใจสละเพศฆราวาส เข้าสู่วัดเมื่ออายุได้ 22ปี อุปสมบท ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ.2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี"ได้ปรนนิบัติรับใช้ รับฟังโอวาทจากพระอุปัชฌายะชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น หลวงปู่เขียว ก็กราบลาพระอุปัชฌายะ ไปศึกษาเล่าเรียนต่อกับพระอาจารย์เอียด วัดบน พระอาจารย์เอียดเก่งทั้งทางโลก และทางธรรม อบรมนิสัยให้เหมาะแก่สมณเพศ จนท่านตั้งใจว่า ขอถือบวชอยู่ในพุทธศาสนาตลอดไป หาทางพ้นทุกข์ตัดอาสวะกิเลสให้สิ้น หลวงปู่เขียวท่านตัดสินใจเดินธุดงค์เป็นวัตร คือ ถือผ้านุ่งห่มบังสกุล 3ชิ้น มีผ้าสบง อังสะ จีวร บิณฑบาตร และฉันอาหารมื้อเดียว(เอกา)เป็นวัตร จึงกราบลาอาจารย์เดินธุดงค์สู่ป่าเขาลำเนาไพร หลวงปู่เขียวเดินธุดงค์ติดต่อกันหลายปี ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรังสุราษฎร์ธานี ชุมพร สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ภูเก็ต พังงา และจังหวัดอื่นๆอีกหลายแห่ง

หลวงปู่เขียว วัดหรงบล
วัตถุมงคล พระเครื่องหลวงปู่เขียว
     ในปี พ.ศ.2467 หลวงปู่เขียวอายุได้ 53 ปีพอดี ท่านพระครูพิบูลย์ศีลาจารย์(เกลื่อม)เจ้าคณะ ต.บางตะพง อ.ปากพนัง ปกครองวัดกลาง(คงคาวดี)ศรัทธาต่อหลวงปู่เขียว ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านเอง ต้องการได้ของดีของอาจารย์เป็นที่ระลึก จึงหาผ้าขาวมา หาขมิ้นผงมาผสมน้ำทาใต้เท้า ใต้มือท่านแล้ว นิมนต์ท่านอฐิษญานจิตกดเป็นผ้ายันต์แต่ไม่ค่อยชัดนัก ต่อมามีผู้ต้องการมากขึ้น จึงคิดหาหมึกจีนเป็นแท่งมาฝนกับฝาละมีทาเท้าบ้าง ทามือบ้าง ให้หลวงปู่อธิษฐานจิตกดลงบนผ้าขาวเป็นผ้ายันต์ ปรากฏว่าชัดเจนสวยงามดี นับว่าผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าหลวงปู่เขียวปรากฏแพร่หลายขึ้นเป็นครั้งแรกในภาคใต้ เมื่อมีผู้ศรัทธามาขึ้นจึงแพร่หลายบอกต่อกันไป มีประชาชนมาขอลูกอมท่านบ้าง หลวงปู่เขียวท่านเคี้ยวชานหมากเสร็จคลึงเป็นลูกอมแล้วมอบให้ บางคนท่านก็เอากระดาษฟางมาลงอักขระเป็นตัวหนังสือขอม หัวใจพระเจ้า 5พระองค์ นะโมพุทธายะ เสร็จแล้วเอาเทียนสีผึ้งห่อหุ้มปั้นเป็นลูกอม หลวงปู่เขียวเป็นพระใจดี พูดน้อยใครขออะไรท่านก็จะทำให้ตามความต้องการแต่ละคน
     วัตถุมงคลที่หลวงปู่เขียว ท่านสร้างมีหลายอย่าง เช่น ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาด ลูกอมเทียน ชานหมาก พระปิดตา เหรียญพ่อท่านเขียวรุ่นต่างๆ และรูปหล่อลอยองค์ พระเครื่องหลวงปู่เขียว เป็นที่ต้องการกันมาก

รูปหล่อบูชาหลวงปู่เขียว วัดหรงบล

ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าพ่อท่านเขียว วัดหรงบน ริมผ้ามีรอยจาร

พุทธคุณวัตถุมงคลหลวงปู่เขียว
     วัตถุมงคล และพระเครื่องของหลวงปู่เขียว ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ด้านปกป้องคุ้มครองสูงมาก พระเครื่องพ่อท่านเขียว วัดหรงบนเช่นผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าผู้ที่โดนโจรปล้นวัวเกิดต่อสู้กัน เจ้าของวัวพกผ้ายันต์ท่าน กระสุนก็ไม่อาจทำอะไรคนที่พกผ้ายันต์ท่านได้ ซึ่งพุทธคุณพระเครื่องที่ท่านปลุกเสกนั้น โด่งดังไปไกลทั่วประเทศเป็นที่เล่าขานสืบต่อมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าด้านคงกระพัน มหาอุด หรือเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ถือว่า หลวงปู่เขียว วัดหรงบล เป็นสุดยอดเกจิอันดับต้นๆของภาคใต้

มรณภาพ
"หลวงปู่เขียว" ท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ.2519 ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 1ค่ำ เดือน 7 ด้วยโรคชราตามสังขารอายุ รวมได้ 95ปี 74 พรรษา

     ความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงปู่เขียว วัดหรงบล อีกอย่างหนึ่งที่เกือบทุกคนรู้กันดีทั่วบ้านทั่วเมือง ก็คือหลังจากหลวงปู่เขียวท่านมรณภาพแล้ว ทางวัดได้เก็บรักษาสรีระของหลวงปู่ไว้ระยะหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า สรีระร่างกายของหลวงปู่เขียวท่านไม่เน่าเปื่อย และไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด และเมื่อถึงวันครบกำหนดประชุมเพลิง สรีระของท่านเผาไฟไม่ไหม้ แม้แต่ จีวร ที่ห่อหุ้ม สร้างความมหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ปัจจุบัน สรีระร่างอันอมตะของ หลวงปู่เขียว ก็ยังประดิษฐานอยู่ในหีบแก้วที่วัดหรงบน ทุกวันนี้จะมีผู้คนไปกราบไหว้สักการบูชาอยู่เป็นประจำ

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน prathaiamata

ประวัติ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน 
พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน วัดพระธาตุน้อย พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือ 
ที่รู้จักกันทั่วไปว่า 
"พ่อท่านคล้าย" วาจาสิทธิ์ เทวดาเมืองคอน 
เทพเจ้าแห่งแดนใต้
                                พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์" นามตามสมณศักดิ์ท่านคือ  พระครูพิศิษฐ์อรรถการ  เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน  จังหวัดนครศรีธรรมราช     พ่อท่านคล้าย  นามเดิมว่า  "คล้าย สีนิล"  เกิดตรงกับวันอังคาร  ที่  27  มีนาคม พ.ศ.2419  ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด  จ.ศ.1238  ร.ศ.95  ที่บ้านโคกทือ หมู่ที่ 10  ตำบลหลักช้าง  อำเภอฉวาง (ปัจจุบันคืออำเภอช้างกลาง)  จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอินทร์ นางเหนี่ยว สีนิล มีพี่สาว 1 คน    ชื่อนางเพ็งเป็นภรรยานายซ้าย เพ็ชรฤทธิ์ ไม่มีบุตรสืบสกุลแต่มีบุตรบุญธรรมหนึ่งคน ชื่อนายครื้น เพ็ชรฤทธิ์

การศึกษาเบื้องต้น 
                                 เมื่อพ่อท่านอายุประมาณ  10  ขวบ  พอจะเรียนอักษรสมัยตามประเพณีในสมัยนั้น  บิดาก็เริ่มให้เรียนหนังสือ  โดยบิดาเป็นผู้สอนเองที่บ้าน  พ่อท่านได้เรียนจนชำนิชำนาญทั้งอักษรไทยและขอมอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี  เมื่ออายุประมาณ  13  ขวบบิดาของท่านก็ได้นำไปฝากให้เรียนวิชาเลขในสำนักของนายขำไม่ทราบนามสกุล  อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งปอน (จันดี) บ้านโคกทือ เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้วก็ได้อยู่ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพโดยสุจริตสืบมาต่อมาได้ไปฝึกหัดเล่นหนังตะลุงกับนายทองสาก ประกอบกับพ่อท่านคล้ายมีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ จึงมีคนติดใจการเล่นหนังตะลุงของท่านมาก 

เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพ่อท่าน 

                                พ่อท่านคล้าย มีลักษณะนิสัย เป็นคนมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาและครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด สุภาพ เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย นิสัยอ่อนโยนละมุนละไม จึงเป็นที่รักของบิดามารดา ครูอาจารย์และญาติมิตรเป็นอันมาก   เมื่ออายุ  15  ปี พ่อท่านคล้าย ประสบอุบัติเหตุในการถางป่าทำไร่ที่ จ.กระบี่ กระดูกปลายเท้า สามนิ้วแตกละเอียด รักษาไม่หาย ด้วยกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว พ่อท่านคล้ายได้ใช้มีดปาดตาลตัดปลายเท้าออกด้วยตัวเอง และใช้ยาพอกจนหายเป็นปกติ

การบรรพชาอุปสมบท 
                                พ่อท่านคล้าย ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2438  (อายุ 19 ปี) บรรพชาที่วัดจันดี   ตำบลหลักช้าง  อำเภอฉวาง  จังหวัดนครศรีธรรมราช  บรรพชาโดยอาจารย์ พระอธิการจันเจ้าอาวาสวัดจันดี (ทุ่งปอน)   แต่ผู้เฒ่าบางท่านเล่าให้ฟังว่าพระอุปัชฌาย์กรายให้บรรพชา  พ่อท่านเป็นสามเณรแล้วพูดว่า  สามเณรคล้ายเจ้ามีวัตถุวิบัติทางพระวินัย  แต่ไม่ร้ายแรงอะไรมากนักยังพอที่จะให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ ฉันขอให้เจ้าท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้ก่อนจึงจะทำพิธีอุปสมบทให้
                                ถึงวันที่  9  กรกฎาคม  พ.ศ.2439  สามเณรคล้ายพร้อมด้วยสามเณรย้อย (นายย้อย  รุ่งเรือง  บ้านวัวหลุน)  ได้เดินทางจากวัดทุ่งปอนมายังวัดวังม่วงโดยมีช้างเป็นพาหนะ  ในวันที่  10  กรกฎาคม  พ.ศ.2439  เวลา  13.00  น.  ได้อุปสมบท ณ อุทกุกเขปสีมา  (ศาลาน้ำ)  วัดวังม่วง  หมู่ที่ 2  ตำบลฉวาง  จังหวัดนครศรีธรรมราช  โดยมีพระครูกราย  คงฺคสุวณฺโณ  เจ้าอาวาสวัดหาดสูง  เจ้าคณะอำเภอฉวาง  เป็นพระอุปัชฌายะ  พระอาจารย์สังข์  สิริรตโน  เจ้าอาวาสวัดไม้เรียง เป็น       พระกรรมวาจาจารย์  พระอาจารย์ล้อม  ถิรโชโต  (นายล้อม  ธรทฤธิ์  ครูสอนหนังสือไทยคนแรก   แห่งอำเภอฉวาง)  วัดวังม่วงเป็นอาจารย์ผู้ให้สรณคมและศีลก่อนจะทำพิธีอุปสมบท  ได้รับฉายาว่า จนฺทสุวณฺโณ แล้วได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดทุ่งปอน หรือวัดจันดี  

การศึกษาขณะเป็นพระ 
                                ปี พ.ศ.2441  พ่อท่านคล้าย ได้เข้าศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เรียนมูลกัจจายนะ ในสำนักพระครูกาแก้ว (ศรี) ณ วัดหน้าพระธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบหลักสูตรมูล พอแปลบาลีได้ ศึกษาอยู่เป็นเวลา 2 พรรษา 
                                ปี พ.ศ.2443  ต่อมาได้ศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนูเจ้าอาวาสเป็นผู้สอน 
                                ปี พ.ศ.2445  พ่อท่านคล้าย ได้กลับมาอยู่จำพรรษาวัดหาดสูง ใกล้ตลาดทานพอ ในสำนักพระครูกราย ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพ่อท่าน เพื่อศึกษาวิปัสสนาและไสยศาสตร์ โดยเหตุที่ พระครูกราย เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาและทรงวิชาคุณทางไสยศาสตร์ในสมัยนั้น 
                                ปี พ.ศ.2447  พ่อท่านคล้าย ได้ไปจำพรรษาที่วัดมะขามเฒ่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลาเพื่อศึกษาภาลีและอภิธรรมเพิ่มเติม 
                                ปีพ.ศ.2448  พ่อท่านกลับจากวัดมะขามเฒ่า มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งปอน (จันดี) ตลอดเวลาที่ท่านจำพรรษา ณ ที่ใดก็ตาม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าภาษา บาลี วิชาโหราศาสตร์ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ติดต่อกันมาโดยมิได้ประมาท ด้านการก่อสร้างก็ได้สร้างไว้ตามวัดต่างๆพอสมควร 

พ่อท่านคล้าย เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน 
                                ในปี พ.ศ.2448 พระปลัดคง เจ้าอาวาสวัดสวนขัน ลาสิกขาบท คณะอุบาสกอุบาสิกาของวัดสวนขัน ได้ร่วนกันเสนอไปยัง ท่านพระครูกรายเจ้าคณะแขวงฉวาง ขอแต่งตั้ง "พ่อท่านคล้าย"เป็นเจ้าอาวาส วัดสวนขันแทน ท่านพระครูกรายก็เสนอไปยังเจ้าคณะเมือง (ม่วง เปรียญ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระศิริธรรมมุนี เจ้าคณะเมือง ได้แต่งตั้งให้พ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันแต่นั้นมา 

ประวัติวัดสวนขัน 
                                วัดสวนขันเป็นวัดราษฎร์ เดิมตั้งอยู่ที่ วัดราษฎร์บำรุง ปัจจุบันชาวบ้านเรียกวัดคุดด้วน เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งคลองคุดด้วน มีพระปลัดคงเป็นเจ้าอาวาส แต่ที่ตั้งเป็นที่ไม่เหมาะบางประการ เนื่องจากฤดูน้ำก็ถูกน้ำท่วมบ่อยๆและสถานที่คับแคบ จึงทำการย้ายวัดขึ้นไปทางเหนือของคลองคุดด้วน สร้างวัดขึ้นมาใหม่ในป่าไม้ขันอันเป็นที่สวนของอุบาสกผู้มีศรัทธาถวายให้วัด และพร้อมใจกันตั้งชื่อวัดว่า วัดสวนขัน
                                วัดสวนขันปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลสวนขัน   อำเภอช้างกลาง  จ.นครศรีธรรมราช  พระปลัดคงได้เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระปลัดคงเป็นลูกศิษย์ของพระครูกราย ต่อมาลาสิกขาบทพระครูกรายเสนอพ่อท่านคล้ายให้เป็นพ่อท่านคล้าย ตลอดมาเป็นเวลา 65 ปี จนถึงวันมรณภาพ
                                พ่อท่านคล้ายมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง  เช่น  เป็นนักก่อสร้าง  นักประพันธ์          นักปฏิบัติทางวิปัสสนา  เป็นต้น  ทางด้านนักประพันธ์นั้น  พ่อท่านเคยแต่งบทกลอนกำดัดนาคไว้     น่าฟัง  ดังนี้ 
      ศีลสิบโดยตั้ง  รักษาโดยหวัง
      องค์ศีลทั่วผอง  สองร้อยยี่สิบเจ็ด
      สิ้นเสร็จควรตรอง  ศีลสิบหม่นหมองสองร้อยมรณา
 สมณศักดิ์พ่อท่านคล้าย
                                ได้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี พ.ศ.2498  ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม แต่ประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามชื่อเดิมว่า พ่อท่านคล้าย

ตำแหน่ง 
ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. 2445 จนมรณภาพ 
เป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย ใน พ.ศ.2500 เนื่องจากมีการสร้างถนนผ่านกลางวัดจันดีหรือวัดทุ่งปอน ทำให้วัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนได้ประชุมตกลงสร้างวัดใหม่ในเนื้อที่ที่แยกออกไป เรียกว่า วัดพระธาตุน้อย และแต่งตั้งให้พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นเจ้าอาวาส เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว วัดนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว
      
งานด้านศาสนา

                                พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์ พระพุทธรูป และร่วมกันในการปฏิสังขรณ์บูรณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก เช่น  พ.ศ. 2490  สร้างวัดมะปรางงาม ตำบลละอาย อำเภอฉวาง   พ.ศ. 2500  สร้างวัดพิศิษฐ์อรรถราม  โดยทายาทอึ่งค่ายท่ายถวายที่ดินใกล้ตลาดนาบอน  และวัดที่สำคัญที่สุดคือวัดพระธาตุน้อย หรือคนทั่วไปเรียกว่า วัดพ่อท่านคล้าย
                                พ่อท่านคล้ายได้สร้างพระเจดีย์ไว้หลายองค์ ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขัน เจดีย์บ้านควนสวรรค์ ตำบลนาแว อำเภอฉวาง เจดีย์วัดยางค้อม อำเภอปูน และที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขันอำเภอพระแสง และเจดีย์หน้าถ้ำขมิ้น บนภูเขาอำเภอนาสาร

พ่อท่านคล้าย สร้างวัดพระธาตุน้อยและเจดีย์
                                ปี พ.ศ.2505  นายกลับ งามพร้อม อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง ได้ยกที่ดินโคกไม้แดง มีเนื้อที่ 40 ไร่ ถวายพ่อท่านโดยมอบให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ที่ดินแปลงนี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟคลองจันดี ประมาณ  1  กิโลเมตร  พระครูพิศิษฐ์อรรถการได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้นในที่ดินแปลงนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อ 14 มกราคม  2505   ตรงกับวันขึ้น 9  ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่นายประคอง ช่วยเพ็ชร ถวายมาจากกว๊านพะเยา (ปัจจุบันเป็นจังหวัดพะเยา) โดยยึดรูปแบบมาจากวัดพระมหาธาตุทั้งหมด ทุนรอนในการก่อสร้างได้มาจาก พ่อค้า คหบดี ข้าราชการ และประชาชน ฝ่ายสงฆ์มีพระใบฏีกาครื้น โสภโณ เจ้าอาวาสวัดจันดีในสมัยนั้น เป็นผู้อำนวยการสร้าง ฝ่ายฆราวาสมี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช เป็นประธาน พระเจดีย์องค์นี้มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 27 เมตร สูง 70 เมตร การก่อสร้างสำเร็จในปี พ.ศ. 2513 องค์พระเจดีย์ มองเห็นเด่นแต่ไกล ถ้านั่งรถไฟเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ก่อนขบวนรถจะถึงสถานีคลองจันดี จะมองเห็นพระเจดีย์อยู่ทางซ้ายมือ

งานด้านพัฒนาท้องถิ่น
                                พ่อท่านคล้าย จัดได้ว่าเป็นนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ตลอดชีวิต ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ได้เดินทางไปพัฒนาในที่ต่าง ๆ มากมาย สร้างถนน สะพานมากมาย ด้วยเมตตาบารมีและความเคารพศรัทธาของศิษย์และประชาชน   ดังเช่น   สร้างถนนเข้าวัดจันดี   ถนนจากตำบลละอายไปพิปูน   ถนนจากวัดสวนขันไปยังสถานีรถไฟคลองจันดี   ถนนจากตำบลละอายไปนาแว   ถนนระหว่างหมู่บ้านในตำบลละอาย   สะพานข้ามคลองคุดด้วนเข้าวัดสวนขัน  สะพานข้ามแม่น้ำตาปีจากตลาดทานพอไปนาแว   สะพานข้ามคลองเสหลา หน้าวัดมะปรางงาม   สะพานข้ามคลองจันดี   เป็นต้น

 ด้านความมีเมตตาและวาจาสิทธิ์

                                ศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือ ศรัทธาพ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น พ่อท่านคล้ายจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและแจ่มใสอารมณ์เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา ท่านมักจะให้พรกับทุกคน "ขอให้เป็นสุข เป็นสุข" ผู้ที่เคารพนับถือท่านต่างพากันกลัวคำตำหนิ เพราะผู้ที่ถูกตำหนิทุกรายล้วนแต่พบความวิบัติ คนส่วนมากจึงหวังที่จะได้รับคำอวยพร เพราะคำเหล่านั้นเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำทั้งในทางดีและทางเสื่อมเสีย 
คนที่ไปนมัสการ "พ่อท่านคล้าย" หวังที่จะได้วัตถุมงคล บ้างขอน้ำมนต์ ชานหมาก แหวน ผ้ายันต์ เหรียญ รูปหล่อ รูปพิมพ์ ซึ่งพ่อท่านคล้ายก็ได้มีเมตตาให้กับทุกคน ยิ่งชานหมากของท่านหากใครได้รับจากมือท่านเป็นต้องหวงแหนอย่างที่สุด

 จุดเด่นของพ่อท่าน

                                1.  วัยวุฒิ  พ่อท่านอายุยืนถึง  76  พรรษา  แม้พระสังฆราชวัดสระเกศ   
( อยู่  ญาโณทยฺ )  ก็ทรงเล่าให้ผู้อื่นฟังว่า  เมื่อพูดถึงหลวงพ่อคล้ายแล้ว  ท่านไม่ใช่คนธรรมดา   
อาจเป็นเทวดาก็ได้
                                2.  คุณวุฒิ  ท่านมีคุณธรรมหรือเรียกว่า  อริยทรัพย์ภายในตัวของท่าน
                                3.  ปัญญาวุฒิ  ท่านเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม  ทันคน

 พระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนานิมนต์เข้าพระราชวัง

                                กิตติศัพท์ทางคุณงามความดีของพ่อท่านคล้ายทรงทราบถึงในหลวงรัชกาลปัจจุบันทรงมีความสนพระทัยและศรัทธาจึงทรงพระกรุณาให้นิมนต์พ่อท่านคล้ายเข้ารับพระราชทานภัทรกิจในพระราชวังสวนจิตรลดา
                                เมื่อพ่อท่านคล้ายกลับวัดลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันไปกราบที่บนกุฏิเพื่อให้ท่านเล่าให้ฟัง  ท่านลำดับเหตุการณ์  ตั้งแต่เจ้าพนักงานนำท่านเข้าไปนั่งรอภายในห้องต้อนรับ  ขณะที่รอในหลวงเสด็จออกท่านว่า  “หัวใจมันเต้นแรงเหมือนนั่งอยู่ปากถ้ำพระยาราชสีย์ยังไงยังงั้น”  เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก  ก้มกราบทำให้อิ่มใจพองคับอก  ชื่นชมในพระบารมี  ช่างงดงามเป็นสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก  ในหลวงทรงสนทนาไต่ถาม  โดยมีพระปลัดสุพจน์คอยชี้แจงถวายระหว่างสำเนียงปักษ์ใต้กับภาษากลาง  จนในที่สุดในหลวงทรงก้มพระเศียรเข้าใกล้พ่อท่านคล้ายด้วยพระราชประสงค์ให้ท่านรดน้ำมนต์  พรมพระเศียรให้พร  ด้วยทรงพระราชศรัทธาเคารพ  ถึงตรงนี้พ่อท่านคล้ายพูดว่า  “กูขนพองไปหมด  พระมหากษัตริย์  ผู้ทรงกฤดาภินิหาร  ครองบ้านครองเมือง  จะมาก้มให้พระป่าสามัญลูบพระเศียรได้  ท่านเป็นเทวดาของปวงชน”  ท่านเลยทูลว่า  “มหาบพิตรได้ทรงโปรดยื่นพระหัตถ์มาเถิด”  ในหลวงทรงเงยพระพักตร์ยิ้มและทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองให้พ่อท่านคล้ายจับขึ้นเสมออกอธิษฐานพระชัยมนต์คาถาถวาย  แล้วรดน้ำมนต์ใส่ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์เอง  พร้อมถวายพระพรตลอดเวลา  ในหลวงทรงอิ่มเอิบปลาบปลื้มพระราชหฤทัยและทรงปวารณาทรงรับอุปัฏฐากเป็นส่วนพระองค์
                                ครั้นลูกศิษย์ถามท่านว่า  “พ่อท่านถวายของดีอะไรหรือเปล่า”   ท่านตอบว่า  “ไม่ให้เทวดาผู้เป็นยอดคนแล้ว  จะให้ใครเล่า”  และกล่าวอีกว่า  “ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร  ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์”
  
พ่อท่านคล้าย มรณภาพ
                                 พ่อท่านคล้ายหรือพระครูพิศิษฐ์อรรถการ เมื่อครั้นถึงวันที่  22  พฤศจิกายน 2513 ตรงกับแรม 9  ค่ำ เดือน 12 ปีจอ  พ่อท่านจะต้องเดินทางไปจังหวัดสุรินทร์ เนื่องในงานพุทธาภิเษกที่คณะพุทธบริษัทจังหวัดนั้นนิมนต์ไว้ เวลา 16.00 น. ของวันเดินทาง คณะศิษย์เป็นว่าพ่อท่านอาพาธกะทันหัน จึงนิมนต์พ่อท่านขึ้นรถด่วนเข้ากรุงเทพ ถึงวันรุ่งขึ้นได้นำพ่อท่านเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎในวันนั้น แพทย์ได้พยายามรักษาจนเต็มความสามารถ เป็นเวลา 14 วัน อาการมีแต่ทรงกับทรุด ครั้นถึงวันที่  5  ธันวาคม 2513  เวลา 23.05 น. พ่อท่านคล้าย มรณภาพด้วยอาการสงบ รวมอายุได้ 96 ปี  เมื่อบำเพ็ญกุศลครบ 100 วัน จึงได้บรรจุสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ใน  วัดพระธาตุน้อยจนถึงปัจจุบัน

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ พ่อท่านล่อง วัดสุขุม prathaiamata

ประวัติพ่อท่านล่อง วัดสุขุม
พ่อท่านล่อง ขันธวัณโณ (พระครูสุขุมธรรมพินิจ) วัดสุขุม จังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างราว พ.ศ. 2511 ราวประมาณ 1000 เหรียญเท่านั้น พ่อท่านล่องเสก พุทธคุณเด่นทางเมตตาแคล้วคลาดเป็นเลิศ พ่อท่านล่อง วัดสุขุม นครศรีฯ เป็น สหธรรมมิก พ่อท่านเขียว อินทมุณี วัดหรงบน ได้รับการยกย่องที่สุดว่าล้ำเลิศ ด้วย อภิญญายิ่ง พระอาจารย์ผู้มีปาฏิหาริย์อัศจรรย์ มรณภาพร่างกายไม่เน่าเปื่อย แข็งเป็นหินผมและเล็บงอกได้ พ่อท่านล่อง ขันธวัณโณ วัดสุขุม จ.นครศรธรรมราช ถึงแก่กาลมรณภาพด้วยสิริอายุถึง ๑๐๑ ปี เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔


พ่อท่านล่อง วัดสุขุม มีคุณธรรมอัศจรรย์ตั้งแต่แรกเกิด กล่าวคือ คลอดง่ายมาก โยมมารดาปวดท้องท้องเหมือนปวดปัสสาวะธรรมดา จึงคลอดตกลงล่องใต้ถุนบ้านขณะที่น้ำยังท่วมอยู่กว่าจะอุ้มขึ้นมาได้กินเวลาหลายนาที แต่ท่านก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
จึงได้ชื่อว่า ล่อง ในสมัยที่เป็นฆราวาส ทดสอบวิชามหาเสน่ห์จนสาวๆ พากันหลงไหลแย่งชิงกันจนวุ่นวายเลยละอายใจหนีไปบวชไม่สึก พ่อท่านล่องเป็นคนที่มีใจหนักแน่นเหนือกว่าคนธรรมดา พ่อท่านล่องเคยถูกงูพิษกัด แต่ท่านใช้พระคาถาดับพิษงูด้วยความมั่นคงจนหายดี นับเป็นอิทธิปาฏิหาริย์อีกประการหนึ่ง
เมื่อพ่อท่านล่องได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครู มีกิจนิมนต์มาก เดินทางไปรถโดยสาร เกิดพลิกคว่ำหลายตลบไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย ขนาดใบจักรเรือหางยาวที่นายท้ายเรือ ยกมาถูกศีรษะอย่างจังยังไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย นับเป็นปาฏิหาริย์ที่ญาติโยมเห็นกันทั้งเรือ
ทางด้านพระเครื่องรางของขลัง ของท่านล่องก็มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์หลายอย่างเลื่องลือ พ่อท่านล่องได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกกับพระสหธรรมมิกที่คุ้นเคยกันมาก เช่น พ่อท่านเมือง วัดท่าพญา หลวงปู่เขียว วัดหรงบน หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ หลวงพ่อแก่น วัดทุ่งหล่อ หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง และหลวงพ่อกล่ำ วัดศาลาบางปู เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ พระครูกาแก้ว(หมุน) หรือ พระศรีธรรมราชมุนี prathaiamata

พระครูกาแก้ว(หมุน) หรือ พระศรีธรรมราชมุนี
อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช วัดหน้าพระบรมธาตุ อ.เมือง นครศรีธรรมราช นับเป็นยอดพระเกจิที่เลื่องชื่อในด้านอาคมและความขลังในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง  ผู้สร้างเหรียญขลังด้านหลังเขียนว่า ชิตังเม (แปลว่าชัยชนะมีแก่เรา) ท่านพระครูกาแก้ว (หมุน) เกิดปี 2425 เมื่อวัยเด็กบิดามารดานำไปฝากเรียนหนังสืออยู่ที่วัดท่าโพธิ์ อยู่กับเจ้าคุณม่วงหรือพระรัตนธัชมุนี  ซึ่งก็เป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดรุ่นก่อนและมีชื่อเสียงด้านวิทยาคม เจ้าของเหรียญหลักประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช เหรียญรุ่นแรกเจ้าคุณม่วง สร้างปี 2476  สำหรับพระครูกาแก้ว(หมุน) นับเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณม่วง นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาวิชาอาคมได้การทำผงอิทธิเจกับพระครูกาชาด(ย่อง) วัดวัง และอีกหลายคณาจารย์ในยุคนั้น  ที่นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวนครศรีธรรมราช  เพราะพระครูกาแก้ว(หมุน) ได้รับนิมนต์เข้าร่วมปลุกเสกพระเครื่องของวัดราชบพิธ  1 ใน 108 องค์ เมื่อปี 2481 ในสมัยนั้นพระเกจิที่ได้รับเชิญมาแต่ละองค์ล้วนแต่สุดยอดจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่อจัน วัดนางหนู หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก หลวงพ่อพูล วัดตาลล้อม หลวงพ่อแดง วัดใหญ่อินทาราม หลวงพ่อศรี วัดพลับ  หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์(ส่งหลวงพ่อจันทร์ วัดคลองระนง มาแทน) หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม หลวงพ่อทอง วัดเขากบ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย หลวงพ่ออาจ วัดดอนไก่ดี  หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก หลวงพ่อเผือก วัดกิ่งแก้ว  เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยในเรื่องความสามารถด้านวิชาอาคมของพระครูกาแก้ว(หมุน)  ถ้าไม่แน่จริงมาไม่ได้ครับ ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง  ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช  ในตอนนั้นได้เกิดการสู้รบขึ้นระหว่างทหารไทยกับญี่ปุ่น  ที่ท่าแพ นครศรีธรรมราช ในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ทหารไทยเสียชีวิต 38 ศพ ส่วนหทารญี่ปุ่นก็เสียชีวิตจำนวนมาก  ต่อมาทางไทยได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในคราวนั้น  ในสภาวะสงครามคราวนั้น ท่านพระครูกาแก้ว(หมุน) ได้จัดสร้างวัตถุมงคลให้ชาวบ้านและทหารไว้ป้องกันตัว  ประกอบด้วย เหรียญรูปท่าน พระผงผสมชันโรง ปี 2485 เป็นต้น สำหรับพระผงผสมชันโรง ทำการกดพิมพ์พระในพระอุโบสถ วัดหน้าพระบรมธาตุ นำไปปลุกเสกที่วัดศาลามีชัย เพื่อถือเคล็ดให้มีชัยชนะ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2485 ในคราวนั้นมียอดพระเกจิแดนใต้เข้าร่วมปลุกเสกหลายองค์ เช่น พ่อท่านพุ่ม วัดจันพอ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน พ่อท่านคง วัดร่อนนา พระครูสุนทร วัดดินดอน พ่อท่านเอียดดำ วัดศาลาไพ พระครูกาแก้ว(หมุน) เป็นต้น พระผงผสมชันโรง จะมีขนาดพระใกล้เคียงกับสมเด็จวัดปากน้ำ  ประกอบด้วยมวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่หายากมากมายเช่น ผงพระพุทธคุณพระพุทธนมิตร นะโมย่องตาม้า นะโมถอดรูป นะโมถอดห่วง ปถมังพินธุ ปถมังโลกีย์ ปถมังโลกุตตร์ ตรีนิสิงเห นะปัดตลอด ว่าน108 ผงแตกหักวัดท่าโพธิ์ใต้ และชันโรง  ในส่วนของชันโรง สำคัญมากโดยโบราณเชื่อว่าชันโรงช่วยรักษาของดีที่อยู่ในองค์พระ มีเสน่ห์ทางเมตตามหานิยม ดังนั้นหากผู้ใดได้ครอบครองวัตถุมงคลที่สร้างด้วยชันโรง  ถือว่ามีของดีวิเศษคู่กาย  ยิ่งพระเครื่องพระผงผสมชันโรง  พระครูกาแก้ว (หมุน) มีสุดยอดพระเกจิแดนใต้หลายองค์มาร่วมปลุกเสก มีความตั้งใจเน้นให้คุ้มครองป้องกันอันตราย ในยามสงคราม  จึงปราศจากความสงสัยในด้านพุทธคุณ พระครูกาแก้ว(หมุน) มรณภาพเมื่อปี 2498 สิริอายุ 73 ปี

ร้านขอเสนอ พระผงผสมชันโรง พระครูกาแก้ว (หมุน) วัดหน้าพระบรมธาตุ ปี 2485 สุดยอดของดีแห่งการคุ้มครองอันตรายและเมตตามหานิยม ซึ่งบรรดาพระเกจิแดนใต้แห่งยุคนั้นร่วมกันอธิษฐานจิตปลุกเสก  พระผงผสมชันโรง พระครูกาแก้ว(หมุน) หายากมากๆกว่าพวกเหรียญมากครับ เพราะพระผงเก็บรักษายาก ยิ่งพระรุ่นนี้อายุปาเข้าไปกว่า 70 ปีสูญหายแตกหักไปกับการเวลาก็เยอะ  ในพื้นที่ใครมีพระรุ่นนี้ก็หวงๆ นานปีอาจมีใครมาโชว์สักองค์ สำหรับพระองค์ที่เรานำเสนอนี้สภาพสวยมากๆครับ สมบูรณ์ไม่มีบิ่นหัก ฟอร์มดี ยิ่งส่องยิ่งมันส์  พระเครื่องรุ่นนี้ใครได้ไปถือว่ามีโชคดีมากๆ เงินทองหมื่นแสนหาไม่ยากครับเมื่อเทียบกับคุณค่าของพระองค์นี้  ที่เรานำออกมาให้ท่านที่ศรัทธาไว้บูชา เพราะเราไม่อยากเห็นพระดีๆต้องกลายเป็นตำนาน หายสาบสูญไปกับเวลา เดี่ยวนี้คนจะรู้จักแต่พระเกจิเก่งเชียร์เยอะครับ  ตัวพระเกจิยุคใหม่บางองค์ที่เจอ บางองค์ไม่ได้เก่งและมีคุณธรรมให้น่ากราบไหว้เหมือนพวกที่เขียนเชียร์ ถ้าท่านใดศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยตรงรับรองท่านสามารถแยกพระที่ควรกราบไหว้กับพระอุปโลกน์ได้แน่นอน

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ หลวงพ่อหมุน ยสโร วัดเขาแดงตะวันออก prathaiamata

ประวัติ หลวงพ่อหมุน ยสโร วัดเขาแดงตะวันออก

หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดงตะวันออก"พระครูถาวรชัยคุณ" หรือ "หลวงพ่อหมุน ยสโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาแดงตะวันออก ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพัทลุงและภาคใต้

หลวงพ่อหมุนเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติน่ายกย่อง และมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับยาสมุนไพรแผนโบราณ เข้มขลังวิทยาคม เป็นที่นับถือเลื่อมใสของชาวเมืองพัทลุงทั่วไป

อัตโนประวัติหลวงพ่อหมุน มีนามเดิมว่า หมุน วรรณศรี เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2440 ตรงกับวันเสาร์ แรม 8 ค่ำ เดือน 5 ปีระกา (ร.ศ.116) ณ บ้านม่วง หมู่ที่ 6 ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง

ในช่วงวัยเยาว์ เมื่ออายุ 6 ขวบ โยมบิดามารดาได้นำไปฝากกับวัดเขาแดง มีหลวงพ่อเอียด เป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น เพื่อให้ ด.ช.หมุนได้ศึกษาเล่าเรียนและฝึกฝนการวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยความตั้งใจ กระทั่งอายุ 17 ปี ด.ช.หมุนจึงได้บรรพชา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2457 ณ วัดปรางหมู่ใน อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระครูอินทโมฬี เป็นพระอุปัชฌาย์

เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ สามเณรหมุนได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2460 ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ พัทธสีมา วัดควนกรวด อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระอธิการรอด วัดควนกรวด เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ดิษฐ์ หรือพระครูเนกขัมมาภิมณฑ์ วัดปากสระ ต.ชัยบุรี อ.เมืองพัทลุง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า ยสโร

หลังจากที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาแดงตะวันออกโดยตลอด ต่อมาในปี พ.ศ.2471 ท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาแดง ในปี 2490

พ.ศ.2525 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูถาวรชัยคุณ

หลวงพ่อหมุนมีความรู้ในการฝึกฝนการวิปัสสนากัมมัฏฐาน และมีความสนใจในเรื่องวิทยาคมและไสยเวท โดยได้ไปเรียนวิชากับพระอาจารย์ทองเฒ่า อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ในขณะนั้น

นอกจากนี้ หลวงพ่อหมุนยังมีความรู้ด้านภาษาบาลี สามารถอ่านหนังสือขอมได้อย่างชำนาญ มีความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรแผนโบราณ จนเป็นที่เลื่องลือและเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดพัทลุงและภาคใต้ ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่ได้สร้างความเจริญให้กับวัดและชุมชนอีกมากมาย ตลอดเวลาในการครองตนหลวงพ่อหมุนยึดหลักเมตตาธรรมส่งผลให้พระภิกษุ-สามเณรในปกครองไม่เคยปฏิบัติออกนอกลู่นอกทาง แต่ละปีจึงมีพระภิกษุ สามเณร มาจำพรรษาศึกษาเล่าเรียนที่วัดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก

สำหรับหัวข้อธรรมะที่ท่านพร่ำสอนญาติโยมจะมุ่งเน้นให้รักษาศีล 5 อย่าดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท และเป็นผู้มีเมตตาธรรมไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์ผู้เกิดแก่ เจ็บ ตาย ร่วมโลก หากกล่าวไปแล้วหลวงพ่อหมุนเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองพัทลุง ที่ได้รับการนิมนต์เข้าไปร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลในจังหวัดต่างๆ ทั่วภาคใต้ ทั้งพัทลุง สงขลา สตูล ตรัง และปัตตานี โดยได้ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลมาตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อหมุนล้วนเป็นที่นิยมแสวงหาของบรรดานักสะสมพระเครื่องและผู้สนใจทั่วไป ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายแบบ ทั้งเครื่องรางของขลังและพระเครื่อง เช่น พระลีลากำแพงเขย่ง พระปิดตา พระภควัม พระนางกวัก เหรียญรูปเหมือนใหญ่ เหรียญรูปเหมือนเล็ก พระเหมือนลอยองค์ พระเหมือนเนื้อว่าน พระรูปเหมือนผงสมเด็จ เสื้อยันต์ ตะกรุด ปลอกแขน-เอว ลูกอม เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม วัตถุมงคลรุ่นต่างๆ ของหลวงพ่อหมุนปัจจุบันนับว่าหาได้ค่อนข้างยากและมีราคาเช่าหาบูชาสูง

"หลวงพ่อหมุน ยสโร" ได้ละสังขารจากไปอย่างสงบเมื่อวันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2526 เวลา 02.00 น. สิริรวมอายุ 86 ปี พรรษา 65 การจากไปของหลวงพ่อหมุนครั้งนี้ได้สร้างความเศร้าสลดมาสู่ญาติโยมที่ศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

แม้สังขารหลวงพ่อหมุนจะแตกดับไปนานหลายสิบปี แต่คุณงามความดียังคงปรากฏอยู่ในใจชาวเมืองพัทลุงอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ prathaiamata

ประวัติพ่อท่านจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช
อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ" วัดทุ่งเฟื้อ อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้มีวิชาอาคมแก่กล้า แม้กระทั่ง "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" มือปราบหนังเหนียว ยังมาฝากตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิชา เครื่องรางควายธนูพ่อท่านจันทร์ ถือเป็นควายธนูหนึ่งเดียวของเมืองใต้

เกิดวันพฤหัสบดี ที่ 18 พฤษภาคม 2453 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีชวด ณ บ้านหลาแก้ว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช บิดาชื่อนายเขียว มารดาชื่อนางพุดแก้ว นามสกุล ทองแก้ว ท่านเป็นบุตรชายคนโต มีพี่น้อง 4 คน มีอาชีพทำสวนทำไร่ ตอนเยาว์วัยได้ศึกษาในสำนักของพระครูสังฆรักษ์ วัดหลาแก้ว ได้ศึกษาอักขรสมัยและวิชาอาคมต่างๆ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็ศึกษาพุทธเวทจากตำราต่างๆ มีวิชาอาคมพอตัวเลยทีเดียว นักเลงหัวไม้ต่างกลัวท่าน เนื่องจากท่านหนังเหนียวยิ่งนัก เมื่ออายุครบ 20 ปี ก็ได้อุปสมบทที่วัดศาลาแก้ว มีพระครูพนังศรีวิสุทธิพุทธิภักดี เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์เห้ง วัดศาลามีแก้ว เป็นพระกรรม วาจาจารย์ ได้ฉายาว่า "สุเมโธ"

คราวหนึ่งท่านเดินทางธุดงค์อยู่ในป่าช้าจังหวัดพัทลุง ขณะที่ท่านเข้าพักแขวนกลดไว้กับกิ่งไม้ในป่าช้าวัดแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ริมคลองป่าเรียบร้อยแล้ว "หลวงพ่อจันทร์" ท่านก็เดินจงกรมคลายความเหน็ดเหนื่อยพอสมควรแล้ว ก็นั่งสมาธิภาวนาในกลด เพราะเป็นช่วงพลบค่ำพอดี ขณะที่นั่งสมาธิจนจิตสงบลงแล้ว สติสัมปชัญญะสมบูรณ์แจ่มใสมาก

"หลวงพ่อจันทร์" ท่านได้เล่าให้บรรดาศิษย์ฟังภายหลังว่าจิตสงบดีแล้วเหตุการณ์อันอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น ทำให้เห็นอักขระแบบภาษาขอมลอยขึ้นเด่นชัด จากริมแม่น้ำลำป่า ไปอยู่ในท่ามกลางอากาศก็ได้กำหนดอักขระเหล่านั้นมาพิจารณา แล้วทำอุบายเพ่งเป็นกสิณ โดยอาศัยอักขระโบราณที่ปรากฏมาเป็นนิมิตหมายแห่งการบำเพ็ญเพ่งเป็นองค์กสิณ ยิ่งนานวันความสงบยิ่งแนบแน่นตามลำดับ

เมื่อความมืดมาปกคลุมไปทั่วลุ่มน้ำลำป่าจังหวัดพัทลุง บริเวณภายนอกกลดอากาศเย็นเป็นพิเศษ ขณะ "พ่อท่านจันทร์" และหมู่คณะของท่านนั่งกำหนดจิตอยู่ ทันใดนั้นความเงียบก็ถูกทำลายด้วยอำนาจเสือโคร่งตัวโต เสียงร้องของมันขู่ข่มขวัญทุกคนที่ได้ยิน มันเดินไปวนมาข้างๆ กลดเพราะได้กลิ่นมนุษย์

พระธุดงค์ดังกล่าวได้ปฏิบัติตามคำเตือนให้อยู่ในความสงบ นั่งปฏิบัติกันโดยปกติ เสือเหมือนมาทดสอบจิตใจเมื่อพระธุดงค์ทุกท่านมีมานะอดทนที่แน่วแน่ พร้อมทั้งแผ่เมตตาไปยังเสือตัวนั้นในที่สุดเสือโคร่งก็สิ้นความพยายามผละหายกลับไปในป่าลึก

จากการเดินธุดงค์ไปทั่วทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ต่อมาในปี พ.ศ.2491 พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ ท่านได้จำพรรษาที่วัดทุ่งเฟื้อ เพราะเล็งเห็นว่าเหมาะแก่การเจริญวิปัสสนาสมาธิเป็นอย่างยิ่ง จากอดีต วัดทุ่งเฟื้อ ที่เคยมีสภาพทรุดโทรม ก็ได้รับการพัฒนาเปิดป่า เปลี่ยนเป็นศาลาโรงธรรม หอระฆัง พระอุโบสถและกุฏิสงฆ์ขึ้นมาตามลำดับ

ต่อมา "พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ" วัดทุ่งเฟื้อ อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งเฟื้อ อย่างสมบูรณ์ พระสงฆ์ต่างจังหวัดและชาวบ้านต่างมาฝากตัวเป็นศิษย์ท่านเป็นจำนวนมาก เพื่อศึกษาตำราพิชัยสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องวิชาคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด มหาอุด แต่งคนเลิศดีนักแลฯ ถือเป็นวิชาสุดยอดทั้งนั้นและหลวงพ่อจันทร์ก็เคยเดินทางไปศึกษาวิชากับอาจารย์เอียดดำ วัดในเขียวอีกด้วย

หลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติจนเกิดฌานจนแก่กล้า ดังบันทึกของคณะศิษย์วัดทุ่งเฟื้อทุกๆ สาย "...คืนวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2532 ท่านเข้าสมาธิภาวนาตั้งแต่หัวค่ำด้วยอิริยาบถอันสงบ แม้อาการป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด ท่านก็ไม่ทอดธุระเรื่องภาวนาตลอดคืน จนเวลา 05.00 น. อันเป็นเวลาใกล้สว่าง ท่านได้ให้บรรดาศิษย์ช่วยกันพยุงกายให้ลุกขึ้น เพราะนั่งสมาธิมาตั้งแต่หัวค่ำ เรี่ยวแรงก็น้อยลง

จากนั้นท่านได้เปลี่ยนสบง จีวร สังฆาฏิ แล้วบอกให้ลูกศิษย์ประคองให้นั่งลงทำสมาธิต่อไป หลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว ท่านก็หลับตาลง และลูกศิษย์จุดเทียนไว้เบื้องหน้าหนึ่งเล่ม และสั่งไม่ให้ใครมาส่งเสียงบริเวณนั้นเพราะท่านจะทำสมาธิครั้งสุดท้าย เมื่อกล่าวแก่ศิษย์ทุกคนแล้วท่านก็หลับตาลงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกำหนดจิตเข้าสู่สมาธิ เป็นลำดับ เวลา 08.30 น. บรรดาลูกศิษย์ ที่เฝ้าดูอาการของพ่อท่านจันทร์ เห็นผิดสังเกต เพราะศีรษะของท่านโน้มเอียงลงมาเล็กน้อย ซึ่งปกติท่านจะนั่งตัวตรงไม่ไหวติง ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิด จึงทราบว่าท่านได้มรณภาพแล้ว ตรงกับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2532

ทั้งนี้ วิชาอาคม หยุดกระสุนปืน และป้องกันศาสตราวุธต่างๆ เป็นที่ยอมรับว่าท่านเป็นยอดไม่เป็นรองใครในใต้ล่าด้ามขวานทอง แถมท่านยังได้ชื่อว่าเป็น "เทพเจ้าเหล็กไหล" ในด้านอิทธิมงคลวัตถุของพ่อท่านจันทร์ นั้นมีอานุภาพดีเด่นในทางพุทธคุณสูง อานุภาพสูงส่งจากประสบการณ์ผู้นำติดตัวไปใช้ก็มีมากมาย จึงเป็นที่หวงแหนของผู้ที่ครอบครองไว้ สำหรับความรู้สึกของศิษยานุศิษย์ที่ได้เรียนวิชาคงกระพัน วิชาชาตรี วิชาแคล้วคลาด วิชามหาอุด วิชาแต่งคน และรับมอบอิทธิวัตถุมงคลของหลวงพ่อจันทร์ พูดได้ว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว ท่านสร้างไว้หลายอย่าง เช่น ควายธนู, รูปหล่อ, เหรียญรูปเหมือน, พระปิดตา, พระกริ่งเหล็กไหล, ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า, ตะกรุด, พระสมเด็จ ฯลฯ

เหรียญรุ่นแรก จัดได้ว่าเป็นเหรียญหยุดกระสุนของจริง ส่วนเครื่องรางของขลังอย่าง "ควายธนู" ถือว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์หนึ่งเดียวของภาคใต้ที่สร้างไว้ เพราะไม่ปรากฏว่ามีเกจิสงฆ์ท่านใดสร้างเอาไว้อีก นอกจากศิษย์รุ่นหลังของทางวัดยังคงดำรงวิชาสร้างควายธนูของท่านเอาไว้

เครื่องรางของขลัง "ควายธนู" ของท่าน สร้างด้วยเนื้อผงพุทธคุณผสมใบลาน เดิมทีท่านไม่ได้สร้างควายธนู เนื่องจากหาวัตถุยากมาก โดยเฉพาะส่วนผสมอย่างหนึ่งคือ ตะไคร่น้ำที่เกิดบนจมูกจระเข้ ซึ่งหายากมาก ภายหลังเมื่อมีการเลี้ยงจระเข้กันมาก ลูกศิษย์สามารถหาให้ได้ พร้อมด้วยวัตถุอาถรรพ์อื่นๆ ท่านจึงได้จัดสร้างขึ้น เริ่มแรกนั้นสร้างแบบเต็มตัว แต่ภายหลังท่านทำเหลือแค่ข้างเดียว เนื่องจากแรงเกินไป ควายธนูของหลวงปู่ เป็นของอาถรรพ์ที่สามารถป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ที่มองไม่เห็น และคุ้มภัยต่างๆ เป็นอย่างดี ปัจจุบันถูกลูกศิษย์เช่าหาบูชาเก็บหมด ไม่เห็นอีกแล้ว

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง prathaiamata

ประวัติพ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง
"พระครูภาวนาภิรมย์" หรือ "พ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ" อดีตเจ้าอาวาสวัดถลุงทอง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระเกจิดังแห่งแ`ปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวเมืองคอนและชาวใต้ มีอายุยืนยาวถึง 5 แผ่นดิน

ประวัติพ่อท่านคลิ้ง เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อวันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2429 ณ บ้านถลุงทอง หมู่ที่ 1 ต.หินตก อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช เป็นบุตรชายคนเดียวของนายแก้วและนางพุ่ม ฉิมแป้น

พ่อท่านคลิ้ง เมื่ออายุ 7 ขวบ บิดาส่งไปเรียนรู้อยู่ในความดูแลของพระอุปัชฌาย์ขำ วัดถลุงทอง จนกระทั่งบรรพชาเมื่ออายุ 12 ปี โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้หลายแขนง ทั้งด้านวิทยาคม ตำรายาโบราณ

อายุ 20 ปี อุปสมบทตรงกับวันที่ 23 พฤษภาคม 2449 พระอาจารย์ขำ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เอียด วัดป่าตอ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายา "จันทสิริ"

ช่วงพรรษาต้น ศึกษาเพิ่มเติมจากพระอาจารย์เอียด ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศทางด้านการทำน้ำมนต์และด้านพรหมศาสตร์ ดูฤกษ์ยามแม่นดังจับวาง ทำให้พ่อท่านคลิ้งได้วิชามาแบบเต็มๆ

เมื่อพระอาจารย์ขำมรณภาพ ท่านจึงรับภาระหน้าที่เจ้าอาวาสวัดถลุงทองสืบมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2496 โดยได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูภาวนาภิรมย์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2521

กล่าวสำหรับ "วัดถลุงทอง" เป็นวัดที่เงียบสงบอยู่ห่างจากถนนเอเชียสายหลัก ระหว่างร่อนพิบูลย์-นครศรี ธรรมราช เข้าไปประมาณ 9 กิโลเมตร ระหว่างทางจะผ่านสวนผลไม้ ไร่นาและบ้านของชาวบ้าน บริเวณวัดสงบร่มเย็น อยู่ใกล้กับเทือกเขา ชาวบ้านบริเวณนั้นจะนับถือพ่อท่านคลิ้งมาก เพราะท่านเป็นพระที่มีเมตตาต่อทุกๆ คน

ด้านวัตถุมงคล พ่อท่านคลิ้งจัดสร้างไว้หลายชนิด เช่น เหรียญ ลูกอมชานหมาก และพระปิดตาเนื้อผงผสมว่าน เป็นต้น ว่ากันว่าวัตถุมงคลของท่านโดดเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โภคทรัพย์ แคล้วคลาด

วัตถุมงคลประเภทเหรียญที่ถือว่าเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมมากก็คือ "เหรียญปั๊มรูปเหมือน" สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2521

เหรียญพ่อท่านคลิ้งนับว่าเป็นสิริมงคล อันสูงสุด เพราะเป็นเหรียญที่มีอักษรพระปรมาภิไธย ภปร

ซึ่งในวงการสะสมบูชาพระเครื่องล้วน เป็นที่นิยม

นอกจากเหรียญดังกล่าวแล้ว ยังมีของดีที่มากด้วยประสบการณ์อีกชนิดหนึ่ง คือ "พระปิดตาราเมศวร์"

เป็นพระปิดตาที่สร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.2525 เนื่องในโอกาสทำบุญครบ 6 รอบ พระเจ้า วรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ พระบิดา ถวายให้ พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง อธิษฐานจิตปลุกเสก

ตลอดช่วงชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ 86 ปี ของท่าน เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อผู้ไปกราบนมัสการ กล่าวในด้านความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อท่านคลิ้งนั้น ในสมัยที่ "พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน" ยังดำรงขันธ์อยู่ เมื่อชาวอำเภอร่อนพิบูลย์ไปกราบนมัสการท่านถึงวัดสวนขัน ท่านมักกล่าวว่า "ทีหลังไม่ต้องมาไกลถึงนี้หรอก ไปหาท่านคลิ้งนั้นแหละ ท่านคลิ้งให้พรดีเหมือนฉัน"

จนกระทั่งวันที่ 21 มกราคม 2533 จึงละสังขารด้วยวัย 104 ปี พรรษา 84

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ประวัติ หลวงพ่อแดง ติสฺโส วัดแหลมสอ prathaiamata

ประวัติ หลวงพ่อแดง ติสฺโส วัดแหลมสอ
เป็นบุตรของ นายแก้ว-นางอ่อน ทองเรือง เกิดเมื่อวันพุธ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง พ.ศ.๒๔๓๔ ที่บ้านเขาปุก ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีพี่น้องด้วยกัน ๔ คน หลวงพ่อแดงท่านเป็นลูกคนที่สองของครอบครัว เมื่ออายุครบ ๒๑ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๕๕-๒๔๕๖)บิดามารดาผู้มั่นคงในพระพุทธศาสนา เห็นว่าลูกชายสมควรที่จะได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ท่านได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดสำเร็จ โดยมี พระครูวิบูลธรรมสาร (เพชร ติสฺโส) เป็นพระอุปัฌชาย์ พระครูทีปาจารคุณารักษ์ (รักษ์ อินฺทสุวณฺโณ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ทับ วัดแจ้ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อบวชแล้วก็เคร่งครัดต่อพระวินัย เอาใจใส่ในกิจวัตร ตามหน้าที่ของพระใหม่จะพึงกระทำ อยู่เป็นพระได้ ๒ พรรษา ก็มีเหตุบังเอิญให้เป็นโรคผิวหนังคันไปทั้งตัว รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย ท่านจึงตัดสินใจลาสิกขาเพื่อออกไปรักษาในเพศฆราวาส เมื่อรักษาหายแล้ว บิดามารดาเห็นว่าลูกชายได้บวชเรียนแล้วควรมีเหย้ามีเรือนต่อไป จึงได้สู่ขอ น.ส.แปลก บุตรสาวของนายเพชร-นางเหลือ ชาวบ้านสระเกศให้มาเป็นภรรยาท่าน เมื่อทำการสมรสเรียบร้อยแล้วอยู่กินกันมาเป็นเวลาประมาณ ๙ เดือนเศษ ก็มีเหตุให้ท่านต้องแยกทางกัน ภายหลังหย่าร้างอยู่ระยะเวลาหนึ่ง บิดามารดาก็เกลี้ยกล่อมให้ท่านมีครอบครัวใหม่(เพื่อมีบุตรหลานสืบสกุลตามธรรมดาของวิสัยชาวบ้านโดยทั่วไป แต่ด้วยจิตใจที่ไฝ่ในธรรม ท่านได้ปฏิเสธความประสงค์ของบิดามารดา ในที่สุดหลังจากได้ออกมาครองเพศฆราวาสยังไม่ถึง ๑ ปี ท่านก็ได้สละเพศคฤหัสถ์เข้าวัดบรรพชาอุปสมบทอีกครั้งหนึ่ง ณ พัทธสีมาวัดสำเร็จโดยมี พระครูวิบูลธรรมสาร (เพชร วชิโร) วัดอัมพวัน เกาะพงัน อดีตเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุยรูปที่ ๒ เป็นพระอุปัฌชาย์ พระครูทีปาจารคุณารักษ์ (รักษ์ อินฺทสุวณฺโณ วัดประเดิม ภายหลังเป็นเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุยรูปที่ ๓)และ พระอาจารย์ทับ วัดแจ้ง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายานามว่า"ติสฺโส" หลังจากท่านได้อุปสมบทแล้วก็ได้ติดตามพระอุปัฌชาย์(หลวงพ่อเพชร วชิโร)ไปอยู่ที่เกาะพงัน เพื่ออบรมสมถวิปัสสนากรรมฐาน รวมทั้งอุปัฏฐากอุปัฌชาย์อาจารย์ตามหน้าที่ของบรรพชิตผู้บวชใหม่ เป็นเวลาประมาณ ๗ เดือน จึงได้ลากลับมาพำนักอยู่ที่วัดสำเร็จ ภายหลังเห็นว่าที่พำนักสงฆ์เขาเล่เป็นที่สงบสงัดเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม จึงได้ออกจากวัดสำเร็จมาพำนักที่พำนักสงฆ์เขาเล่เป็นเวลาหลายปี (เขาเล่สร้างมาตั้งแต่ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕ และเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สมเด็จพระปิยมหาราชเคยเสด็จประพาสแหลมมลายู คราว ร.ศ.๑๐๗และ ร.ศ.๑๐๘) ต่อมาวัดท้องกรูด(วัดสันติวราราม) เกิดขาดเจ้าอาวาส อุบาสกอุบาสิกาจึงพร้อมใจกันมานิมนต์ท่านไปอยู่ ท่านเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมจึงรับนิมนต์ ท่านมาอยู่ที่วัดท้องกรูดเป็นเวลาหลายปี จนพระอุปัฌชาย์มอบหมายให้ทำหน้าที่พระอนุสาวนาจารย์ในการบวชกุลบุตร ท่านได้ทำหน้าที่อยู่หลายปี และสิ่งต่างๆที่ท่านได้สร้างขึ้นก็มีหลายอย่างเช่น โรงอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิที่อยู่ เป็นต้น ท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดท้องกรูด (วัดสันติวราราม) อยู่ประมาณ ๗ ปี ก็เกิดเบื่อหน่ายในภารกิจวงจรชีวิตของสมภาร โอกาสที่จะบำเพ็ญสมณธรรมลดน้อยลง จึงได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส มุ่งหน้าหาความวิเวกสงบสงัดเป็นที่ตั้ง สถานที่ต่างๆที่ท่านได้จาริกธุดงค์ไปอยู่เช่นถ้ำยายละไม (ที่ซึ่งท่านและหลวงพ่อแดง วัดคุณาราม ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานจากพระครูประยุตธรรมโสภิต(ทองไหล ผลผลา) อดีตเจ้าอาวาสวัดละไม) แหลมสอ แหลมเสร็จ น้ำรอบ วัดโพธิ์แหลมสอ วัดโพธิ์บ้านทะเล ท้องตะโหนด ตรอกยวน รูเหล็ด วัดพระคอหัก เกาะแตน เกาะมัดสุม เกาะราบ เกาะฟาน เป็นต้น เมื่อท่านปลดเปลื้องสิ่งที่หนักลงจากบ่าแล้ว หลวงพ่อแดงท่านได้สร้างเรือใบขนาดเล็กขึ้นมาลำหนึ่ง ท่านได้อาศัยเรือลำนี้ ข้ามท้องทะเลอันกว้างใหญ่ เที่ยวธุดงค์รอนแรมหาความวิเวก ฝึกจิตใจให้เหนือวิสัยแห่งโลก อยู่ตามเกาะต่างๆรอบอาณาบริเวณเกาะสมุย บางครั้งก็ธุดงค์ขึ้นไปบนแผ่นดินใหญ่หรือไปบกบ้าง เมื่อหลวงพ่อแดง มาพำนักอยู่แถวริมทะเลใกล้เขาพระเจดีย์[เจดีย์แหลมสอเดิมตั้งอยู่บนเขา ใกล้กับวัดแหลมสอในปัจจุบัน ท่านพระครูวิบูลธรรมสาร (เพชร ติสฺโส)เป็นผู้สร้าง ปรมาณต้นปี พ.ศ.๒๔๕๑ ใช้เวลาสร้างประมาณ ๒ ปี จึงแล้วเสร็จ หลังจากหลวงพ่อเพชร ติสฺโส มรณภาพลง เขาพระเจดีย์ก็รกร้างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ต่อมาอาจเนื่องมาจากไม่มีสายล่อฟ้า จึงเกิดฟ้าผ่าลงต้องเจดีย์ ทำให้พระเจดีย์ชำรุด] เมื่อหลวงพ่อแดง มาพำนักอยู่แถวริมทะเลใกล้เขาพระเจดีย์ โดยระยะแรกท่านได้สร้างโบสถ์น้ำ ณ สถานที่ใกล้ๆกับที่ตั้งเจดีย์วัดแหลมสอ ในปัจจุบัน แต่ตอมาน้ำทะเลได้พัดเอาทรายมาถมคลองริมทะเล ทำให้ขาดคุณสมบัติของอุทกุกเขป หรือที่เรียกกันว่า "โบสถ์น้ำ"ทำให้ต้องยกเลิกอพัทธสีมา ท่านจึงหันไปพัฒนาบริเวณที่ตั้งวัดแหลมสอในปัจจุบันจนมีถาวรวัตถุ เสนาสนะพอประมาณแก่การปฏิบัติศาสนกิจ ด้วยเหตุแห่งความกตัญญูกตเวทีของท่าน ที่พยายามดำเนินรอยตามบุรพชนในทางที่ชอบที่ควร ไม่ดูถูกเหยียดหยามในสิ่งที่อุปัฌชาย์อาจารย์ทำไว้ แต่กลับต่อเติมเสริมสร้างให้ดีขึ้น ดังนั้นเมื่อเจดีย์บนเขาที่หลวงพ่อเพชร ติสฺโส ได้สร้างไว้เกิดชำรุดจนเสียสภาพไป ท่านมิได้นิ่งนอนใจยอมลงทุนลงแรงปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ขึ้นมาใหม่ แต่ด้วยภูมิลักษณ์ จึงได้ย้ายจุดก่อสร้างเจดีย์องค์ใหม่มาอยู่ริมทะเล ใกล้บริเวณที่เคยเป็นอุทกุกเขปหรือโบสถ์น้ำเดิม(พระเจดีย์องค์ปัจจุบัน)เมื่อสร้างเสร็จก็ได้อันเชิญพระบรมธาตุที่พ่อท่านขิก ชาวท่าฉาง ถวายให้หลวงพ่อเพชร ติสฺโส จากเจดีย์องค์เดิมอันชำรุดบนเขาพระเจดีย์มาบรรจุไว้ในเจดีย์องค์ใหม่ด้วย ปัจจุบัน เจดีย์แหลมสอ เป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของเกาะสมุย ที่บรรดานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและเทศ ผู้มาเยือนเกาะสมุย มักหาโอกาสไปเยี่ยมชมนมัสการอยู่เสมอ/ หลวงพ่อแดง ติสฺโส แม้ท่านจะเป็นพระแนวสมาธิภาวนาถือธุดงควัตร มหาสติปัฏฐาน แต่ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธการสร้างวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังโดยสิ้นเชิง วัตถุมงคลของท่านเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เท่าที่นิตยสารพระเครื่องต่างๆได้นำเสนอก็มีเพียงประมาณ ๕-๖ อย่างเท่านั้น ทั้งๆที่ในช่วงที่หลวงพ่อท่านดำรงอยู่นั้น ได้จัดสร้างวัตถุมงคลไว้หลายอย่างด้วยกัน เช่น ๑)ลูกอมหรือลูกไม้(สร้างจากอิทธิเจ คลุกคลีมวลสารและสิ่งยึดเนื้อใส่เส้นผม(เกศา)ของท่านและเศาจีวรของท่าน ปั้นเป็นก้อนกลมๆแล้วปลุกเสกแจก พอหมดก็ทำใหม่ปลุกเสกใหม่แจกไปเรื่อยๆ) ๒)หินรูเหล็ต หรือ ปถวีธาตุ เป็นก้อนหินในธรรมชาติที่มีลักษณะแตกต่างจากหินทั่วไปและอยู่ในสถานที่เร้นลับ นำมาปลุกเสกแล้วแจกจ่าย เพื่อป้องกันตัว กันคุณไสย์ ๓)ทรายเสก ในสมัยก่อนเมื่อใครสร้างบ้านใหม่ๆก็จะมาขอท่านเพื่อนำไปโรยรอบๆบ้าน สำหรับป้องกันสิ่งอัปมงคลต่างๆ (บางบ้านก็ยังเก็บไว้บนหิ้งจนถึงปัจจุบัน) ๔) ภาพถ่ายของท่านมีหลายแบบหลายขนาด ทั้งแบบห้อยคอและแบบบูชาติดบ้าน ๕)ผ้ายันต์ ทั้งแบบเขียนมือ(จารมือ) และแบบปั้มในปี พ.ศ.๒๕๑๙ ที่ระลึกเขาเล(ผ้ายันต์น้ำรอบ) ๖)ตะกรุด ตามที่ทราบมาส่วนมากท่านสร้างออกแจกจ่ายผู้ใกล้ชิด แต่มีปริมาณน้อยมาก ส่วนโลหะที่นำมาสร้างนั้น มีทั้งทองแดง ตะกั่ว หรือเนื้อพิเศษที่ผู้ที่มาขอนำมาให้ท่านทำตะกรุดให้ ๗)เหรียญรุ่นแรก ลักษณะทรงกลม รูปหลวงพ่อแดงห่มคลุม พาดสังฆาฏิ นั่งสมาธิ ใต้รูปเขียนว่า "หลวงพ่อแดง"ด้านหลังยันต์สี่ ภายใต้ยันต์เขียนว่า "วัดแหลมสอ"จำนวนสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ ๘)รูปเหมือนมีกริ่งรุ่นแรก(แข้งใหญ่-แข้งเล็ก) สร้างพร้อมกับเหรียญรุ่นแรก ลักษณะรูปท่านห่มคลุม พาดสังฆาฏิ นั่งสมาธิบนอาสนะแท่ง กลางอาสนะ เขียนว่า"หลวงพ่อแดง" และด้านหลัง มีอักขระตัว"นะ"อยู่กึ่งกลาง จำนวนการสร้างประมาณ ๑,๐๐๐-๓,๐๐๐ องค์ ๙)เหรียญยืน(เหรียญยืนมี ๒ แบบ คือ แบบเหรียญ ๒๕ พุทธศตวรรษ จำนวนสร้างประมาณ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ โดยแบ่งเป็นแบบรมดำและกะไหล่ทองอย่างละ ๕,๐๐๐ เหรียญ และแบบรียาว จำนวนสร้างเท่ากัน มีทั้งรมดำและกะไหล่ทองเช่นเดียวกัน ๑๐)รูปเหมือนรุ่นพิเศษ สร้างในปี พ.ศ.๒๕๑๔ จำนวนสร้างประมาณ ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ องค์ ๑๑)เหรียญเกาะสมุย สร้างปี พ.ศ.๒๕๑๗ ทรงเดียวกับเหรียญรุ่นแรก แต่ด้านหน้าเหรียญเขียนว่า"หลวงพ่อแดง ติสโส" ด้านหลังเหรียญเขียนว่า"เกาะสมุย ๑๒)เหรียญครึ่งองค์(รุ่นสร้างเจดีย์) รุ่นนี้สร้างในปี พ.ศ.๒๕๑๔ โดยข้าราชการสังกัดกรมที่ดินขออนุญาตจัดสร้างเพื่อแจกจ่ายญาติมิตร โดยใช้ภาพถ่ายตอนหนุ่มของท่านเป็นต้นแบบ ครึ่งองค์ ห่มเฉวียงบ่า ไม่พาดสังฆาฏิ ใต้รูปเขียนว่า"หลวงพ่อแดง ติสโส" ด้านหลังยกขอบนูนเล็กน้อย กึ่งกลางเป็นยันต์นะทรงแผ่นดิน ใต้ยันต์เขียนว่า"รุ่นสร้างเจดีย์เกาะสมุย ๒๕๑๔" ๑๓)เหรียญเสมา"รุ่นอ่างเก็บน้ำ"เหรียญรุ่นนี้จัดสร้างประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๑๘ มีทั้งรมดำและกะไหล่ทอง ผู้ใหญ่ท่านนึงในเกาะสมุยได้ขออนุญาตจัดสร้างเพื่อแจกในงานมงคลสมรสและอีกส่วนนึงแจกแก่ผู้ร่วมทำบุญสร้างอ่างเก็บน้ำ เป็นเหรียญที่หลวงพ่อแดง ท่านปลุกเสกเช่นกัน ๑๔)เหรียญอิสวาสุ รูปไข่ วัดเขาเล่ สร้างในปี พ.ศ.๒๕๑๙ ปสุกเสกเดี่ยวโดยหลวงพ่อแดงที่วัดเขาเล่ พร้อมกับผ้ายันต์พุทธจักร์(น้ำรอบ) ๑๕)เหรียญขวัญถุง ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ ได้มีการนำเหรียญกษาปน์ชนิด ๒๕ และ ๕๐ สตางค์ ที่ทางวัดเขาเล่ได้รับบริจาคมาเป็นจำนวนมาก ให้หลวงพ่อปลุกเสกเดี่ยว แล้วแจกเป็นเงินขวัญถุง แต่เนื่องจากทางวัดเขาเล่ไม่ได้ทำการตอกโค๊ตในเหรียญ ทำให้ขาดจุดจำแนกเหรียญ ๑๖)รูปเหมือนบูชา สร้างในปี พ.ศ.๒๕๑๙ ลักษณะ หลวงพ่อนั่งในท่าพับเพียบ เนื้อทองเหลือง สร้างจำนวน ๒๐๐ องค์ หลวงพ่อแดงได้ลงอักขระเลขยันต์ในแผ่นเงิน แผ่นทองที่ใช้เป็นส่วนผสมในการทำ แต่ขณะทำการหล่อไม่แล้วเสร็จ หลวงพ่อแดงก็ได้มรณภาพเสียก่อน ท่านจึงไม่ได้ปลุกเสก แต่ด้วยเหตุที่ท่านทราบการสร้างแล้ว ศิษยานุศิษย์จึงเชื่อว่าเหมือนกับท่านได้ปลุกเสกแล้ว ขลังศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน(ในการนี้ได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ซึ่งเป็นที่นับถือศรัทธาของสาธุชนมาทำพิธีปสุกเสกประสิทธิคุณ อาทิเช่น หลวงพ่อจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ หลวงพ่อขขวัญ วัดท้องอ่าว เป็นต้น) หลวงพ่อแดงท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ฑ.ศ.๒๕๑๙ ด้วยเรือโดยสาร(เรือนอน) เกิดล่มกลางทะเล(ดั่งคำที่ หลวงพ่อเพชร วัดอัมพวัน อาจารย์ของท่านพูดว่า"ถึงคุณแดงจะเก่งอย่างไร ก็ดับทางน้ำ" ขณะมรณภาพ หลวงพ่อแดง มีอายุ ๘๕ ปี ๕๙ พรรษา

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประวัติ พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว prathaiamata

พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว

ประวัติอาจารย์นอง วัดทรายขาว หรือ พระครูธรรมกิจโกศล (พระอาจารย์นอง ธมฺมภูโต) ปัตตานีอาจารย์นอง วัดทรายขาว เจ้าตำรับตะกรุดนารายณ์แปลงรูป ประวัติพระครูธรรมกิจโกศล หรือ พระอาจารย์นอง ธมฺมภูโต เดิมชื่อ "นอง หน่อทอง"เกิดเมื่อวันเสาร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม 2462 ที่ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี โยมบิดาชื่อ นายเรือง หน่อทอง โยมมารดาชื่อ นางทองเพ็ง มีพี่น้อง 3 คน คนแรก คือตัวพระอาจารย์นอง คนที่สองนางทองจันทร์ และคนที่สามนายน่วม พระอาจารย์นองเรียนจบ ป.3 ที่โรงเรียนนาประดู่ ขณะมีอายุ 15 ปี ออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาทำสวน และบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อายุ 19 ปี ที่วัดนาประดู่ มีพระพุทธไสยารักษ์ (นุ่ม) วัดหน้าถ้ำ เป็นพระอุปัชฌาย์ แต่บวชได้ 1 เดือน ก็ลาสิกขาออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาทำสวนต่อไประยะหนึ่ง จนกระทั่งอายุได้ 21 ปี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2482 ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดนาประดู่ โดยมีพระครูวิบูลย์สมณกิจ (ชุ่ม) วัดตุยง เจ้าคณะเมืองหนองจิก เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการดำ วัดนางโอ และพระครูภัทรกรโกวิท (แดง)วัดนาประดู่ เป็นพระคู่สวดได้ฉายา "ธมฺมภูโต" อยู่วัดนาประดู่ได้ 12 พรรษา จากนั้นย้ายมาจำพรรษาที่วัดทรายขาว จนได้เป็นเจ้าอาวาส และเป็นเจ้าคณะตำบลโคกโพธิ์ตราบจนมรณภาพ
ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป อาจารย์นอง วัดทรายขาว

พระเครื่องและวัตถุมงคล วัดทรายขาว จ.ปัตตานี สำหรับ อาจารย์นอง วัดทรายขาว เป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ เคยร่วมสร้างพระเครื่องหลวงพ่อทวดเนื้อว่านเมื่อปี 2497 จนโด่งดังทั่วสารทิศ และต่อมาพระอาจารย์นอง วัดทรายขาวได้สร้างเครื่องรางของขลังที่ดังไปทั่วเมืองไทย คือตะกรุดนารายณ์แปลงรูปและพระเครื่องหลวงพ่อทวดเนื้อว่านฝังตะกรุด นอกจากนั้นแล้วอาจารย์นอง วัดทรายขาวยังเป็นพระนักพัฒนารูปหนึ่งที่ได้รับการยกย่องชมเชยตลอดมา และเป็นพระอยู่ในนิกายมหานิกาย สิริรวมอายุถึงวันมรณภาพได้ 80 ปี 11 เดือน 60 พรรษา ความสัมพันธ์กับอาจารย์ทิม วัดช้างให้ อาจารย์นอง วัดทรายขาวท่านเป็นสหธรรมิกกับท่านพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ เป็นทั้งกัลยาณมิตรเป็นศิษย์กับอาจารย์ต่อกัน เกื้อกูล เกื้อหนุนกันมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนวาระสุดท้ายของท่านอาจารย์ทิม เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2512 ทั้งพระอาจารย์ทิม และ พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว เป็นศิษย์ร่วมสำนักวัดประดู่มาด้วยกันเมื่อพระอาจารย์ทิมมาอยู่วัดช้างให้และ อาจารย์นอง ไปอยู่วัดทรายขาว ก็ยังมีความสัมพันธ์ดีงามมาโดยตลอด กิจการใดของวัดช้างให้ อาจารย์นอง วัดทรายขาวท่านจะเป็นผู้คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายพระอาจารย์ทิมทุกอย่าง ที่สำคัญ การสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ปี พ.ศ.2497 ถ้าจะกล่าวกันแล้ว ปฐมเหตุจริงๆ ก็มาจากท่านที่เป็นผู้ชักชวนพระอาจารย์ทิมให้สร้างพระหลวงพ่อทวด ตามที่ท่านได้เล่าให้ฟังเท่าที่จำได้คร่าวๆ คือช่วงนั้น อาจารย์นอง วัดทรายขาวกับพระอาจารย์ทิม ขึ้นมากรุงเทพฯ และไปที่วัดระฆัง เพื่อที่จะไปเช่าบูชาพระสมเด็จของหลวงปู่นาค มาเพื่อให้คนทำบุญจะได้นำเงินไปสร้างโบสถ์วัดช้างให้ พกเงินขึ้นมาประมาณ 3,000 บาท ขณะที่กำลังจะขึ้นไปเช่าพระ ท่านบอกว่า "กูนึกยังไงก็ไม่รู้ สะกิดอาจารย์ทิม บอกว่า ท่านๆ ทำไมเราไม่กลับไปทำพระของเราเองล่ะ" "พระอะไร...?" พระอาจารย์ทิมถาม "ก็พระหลวงพ่อทวดไง" พระอาจารย์ทิมบอก "เออ...!! นั่นน่ะสิ" ทั้งสองท่านจึงได้เช่าบูชาพระสมเด็จหลวงปู่นาคม เพียงเล็กน้อยและพากันกลับปัตตานี

ปฐมเหตุตรงจุดนี้ คือกำเนิดของสุดยอดพระเครื่องเมืองใต้ หลวงปู่ทวดเนื้อว่าน ปีพ.ศ.2497 อันเป็นอมตะตลอดกาล ส่วนคุณอนันต์ คณานุรักษ์ นั้น เป็นส่วนประกอบที่ช่วยเหลือให้การจัดสร้างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ซึ่งคงเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อทวดที่บันดาลชักนำ คุณอนันต์ คณานุรักษ์ คหบดีชาวปัตตานีให้มาเป็นกำลังสำคัญ การจัดสร้างพระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ปี พ.ศ.2497 พระอาจารย์นอง วัดทรายขาวท่านจึงมีส่วนอย่างมากในทุกๆ ขั้นตอนการจัดสร้าง ฉะนั้น...ท่านจะรู้พิธีกรรม และเรื่องว่านดีที่สุด เมื่อท่านมาสร้างพระหลวงพ่อทวด ขึ้นเองจึงมีความขลังแ ละศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนมาโดยตลอด เหตุการณ์ที่บ่งให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองพระอาจารย์ที่ผู้เขียนได้ฟังแล้วรู้สึกประทับใจและกินใจมาก ตามที่ท่านเล่าให้ฟังว่าก่อนที่อาจารย์ทิมจะไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ ท่านมาหาเราที่วัด สั่งเสียไว้หลายเรื่องฝากให้เราช่วยดูแลวัดช้างให้ ท่านหยิบขันน้ำมนต์ขึ้นมา ท่านจับประคองอยู่ด้านหนึ่งให้เราจับอีกด้านหนึ่ง แล้วท่านพูดว่า "ตั้งแต่คบกันมา คุณไม่เคยทำให้ผมเสียใจเลย คนอื่นยังมีตรงบ้าง คดบ้าง "เรา" ขออธิษฐาน บุญใดที่เคยทำร่วมกันมา และยังไม่เคยทำร่วมกันมาก็ดี ทั้งชาตินี้และอดีตชาติ ขออธิษฐาน เกลี่ยบุญให้เท่ากัน เพื่อจะได้เกิดทันกันทุกๆ ชาติไปจนถึงชาติสุดท้าย"

วัตถุมงคลหลวงพ่อทวด วัดทรายขาว จากนั้นพระอาจารย์ทิมก็เข้าไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ และก็มรณภาพที่โรงพยาบาลกลางเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2512 คำอธิษฐานนี้ผู้เขียนเชื่อว่าเป็นคำพูดที่ยิ่งใหญ่ เป็นอมตวาจาอย่างแท้จริง ได้ความรู้สึกถึงความผูกพันที่ท่านทั้งสองมีต่อกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด ได้ร่วมสร้างตำนานอันมหัศจรรย์ของหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ แผ่ออกไปทั่วทุกสารทิศ พระอาจาร์ทิม ถ้านับจาก พ.ศ.2497-2512 ก็เพียง 15 ปี แต่พระอาจารย์นองท่านใช้เวลาถึง 45 ปี (2497-2542)
หลวงปู่ทวดอาจารย์นอง วัดทรายขาว ปี14 พิมพ์กรรมการกดมือ รุ่นแรก

ปัจจุบัน หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของหลวงพ่อทวดดังไปถึงมาเลเซีย สิงคโปร์ ก็มีผู้คนนับถือไม่น้อยเช่นกัน เรื่องความสัมพันธ์กับพระอาจารย์ทิมนั้น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับ "ดีนอก" คือมีปัจจัยอื่นช่วยส่งเสริม แต่เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็คือ "ดีใน" นั่นเอง หมายถึง คุณลักษณะส่วนตัวของพระอาจารย์นอง วัดทรายขาว สองสิ่งต้องคู่กันจึงจะสมบูรณ์ เมื่อดีก็ต้องดีทั้งนอก ดีทั้งใน

อาจารย์นอง วัดทรายขาว ท่านยึดถือมาตลอดในการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่เลือกว่าจะเป็นศาสนาใดๆ ยากดีมีจน ท่านจะเป็นผู้ให้มาโดยตลอด ทั้งเรื่องสร้างโรงพยาบาลซื้ออุปกรณ์การแพทย์ สร้างโรงเรียน ทุนการศึกษา สร้างถนนหนทาง บริจาคทรัพย์ให้กับสาธารณกุศลอยู่เป็นประจำ ช่วยสร้างอุโบสถวัดต่างๆ แม้กระทั่งบริจาคเงินให้กับชาวอิสลามที่อยู่แถบ วัดทรายขาว ตลอดจนช่วยเหลือสงเคราะห์เรื่องต่างๆ จนได้รับการยอมรับนับถือจากชาวอิสลามเป็นจำนวนมาก ในเรื่องของการบริจาคทรัพย์ซื้ออุปกรณ์การแพทย์นั้น อาจารย์นอง วัดทรายขาว ท่านบอกว่า สามารถช่วยเหลือชีวิตคนได้มากประโยชน์เกิดขึ้นทันที ด้วยการที่ท่านเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้งท่านจึงเห็นคุณประโยชน์ของอุปกรณ์การแพทย์ บางครั้งเวลาท่านอารมณ์ดีท่านจะเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ท่านเคยพูดว่า"ตอนกูไปอยู่โรงพยาบาล กูก็เตรียมเงินสดไปด้วยตลอด แล้วถามหมอว่า ขาดอะไรบ้าง หมอบอกว่า ขาดไอ้นั่น ไอ้นี่ กูควักเงินสดให้ไปซื้อเลย ครั้งหลังๆ นี่ พอกูไปนอนโรงพยาบาล ตื่นขึ้นมามองซ้าย มองขวา มีชื่อ พระครูธรรมกิจโกศล ติดเต็มไปหมด" ท่านพูดเสร็จก็หัวเราะร่วนชอบใจใหญ่

อาจารย์นอง วัดทรายขาวท่านเคยพูดให้ฟังเสมอว่า "คนที่เขาเดือดร้อนมาพึ่งเรา หากไม่เกิดวิสัยแล้ว เราช่วยได้ก็จะช่วย บางคนมาไม่มีเงิน ค่ารถ ค่ากิน เราก็ให้ไปเรื่องบุญ เรื่องทาน ใครทำใครก็ได้ไป บุญยิ่งทำก็ยิ่งได้บุญ ทานยิ่งให้ทานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้กลับมามากยิ่งๆ ขึ้นเป็นการสั่งสมบารมีลดกิเลสลงไป" จริงดั่งท่านว่า "ยิ่งทำก็ยิ่งได้ ยิ่งให้ก็ยิ่งมา" ธรรมะข้อนี้เป็นเรื่องที่เหมาะสำหรับสังคมยุคปัจจุบันอย่างยิ่ง เพราะสังคมเราทุกวันนี้ มีความเห็นแก่ตัวมากขึ้นทุกที ถ้าคนเรารู้จักคำว่าให้ รู้จักคำว่าพอ รู้จักเสียสละ เชื่อว่าสังคมจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน เรื่องทานบารมีเป็นธรรมะที่พระอาจารย์นอง ยึดปฏิบัติบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอดชีวิตของท่าน ถือว่าเป็นคุณความดีในตัวท่านเอง แต่สามารถสร้างคุณานุประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างมหาศาลท่านจึงเป็นที่รักเคารพของมหาชน

อาจารย์นอง วัดทรายขาวท่านดำรงชีวิตอยู่ในสมณเพศด้วยความเรียบง่าย กิน (ฉัน) ง่ายอยู่ง่ายไม่พิถีพิถัน วางเฉยในเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่มีความทะยานอยาก ท่านพัฒนาวัดทรายขาว จนมีความเจริญรุดหน้าอย่างเห็นได้ชัดเจน ชั่วระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี ท่านสร้างวัดทรายขาว ให้งามสง่ากว่าวัดใดๆ ใน จ.ปัตตานี หรือแม้กระทั่งจังหวัดใกล้เคียง เงินที่นำไปสร้างทั้งหมดกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท ล้วนแล้วแต่เป็นเงินที่มาจากการสร้างพระหลวงพ่อทวดทั้งสิ้น ท่านมิได้แตะต้องเงินทำบุญที่มีผู้บริจาคให้วัดแต่อย่างใด ปรากฏว่าหลังจากท่านมรณภาพ คณะกรรมการได้เคลียร์บัญชีทรัพย์สินในบัญชีต่างๆ เหลือเงินสดถึงกว่าสามสิบล้านบาท ทุกบัญชีท่านแยกแยะไว้ชัดเจนว่าเป็นเงินอะไรบ้าง มีที่มาที่ไปอย่างไร หนี้สินใครบ้าง ท่านมีบัญชีทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักบริหารงานที่มีการจัดการที่ดีเยี่ยม By: สยามรัฐ 27 พฤศจิกายน 2547
ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป สุดยอดของ อาจารย์นอง วัดทรายขาว สมัยที่ พระครูธรรมกิจโกศล หรือที่ชาวบ้านเรียกขานท่านจนติดปากว่า พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ยังมีอายุไม่ครบ ๖๐ ปี ใครไปขออนุญาตสร้างพระเครื่องที่เป็นรูปเหมือนท่าน จะถูกปฏิเสธเสมอ ท่านจะบอกว่า "ยังไม่ถึงเวลา" ช่วงนั้นผมมีโอกาสไปกราบไหว้ท่านบ่อยๆ ทุกครั้ง ที่ไปกราบ ท่านมักจะ ได้รับแจก วัตถุมงคลเสมอ คือ พระหลวงปู่ทวด พิมพ์ ๓ ทวด และ หลวงพ่อหมาน บางครั้งก็ได้รับแจก พระหลวงปู่ทวด รุ่นปี ๒๕๑๔ หลวงปู่ทวดเนื้อว่านพิมพ์กรรมการ รุ่นสร้างมณฑป อีกสิ่งหนึ่งที่ท่านจะแจกให้เสมอก็คือ "ตะกรุดลูกปืน" เป็น "ตะกรุด" ที่นำ ปลอกลูกกระสุนปืนมาทำ โดยนำปลอกกระสุนปืน ๒ ปลอกมาประกบติดกัน ข้างในมี "ของดี" บรรจุอยู่ ซึ่งท่านได้กำชับไว้ว่า ห้ามเปิดออกมาดู ถ้าเปิดดู จะเสื่อม.. ไม่ขลังอีกต่อไป

ใครไปใครมาสมัยนั้นมักจะได้รับแจก ตะกรุดลูกปืนอาจารย์นอง วัดทรายขาว นี้เสมอ ยกเว้นแต่ว่า ในช่วงนั้น ไม่มีปลอกกระสุนปืน ซึ่งจะมีผู้นำ มาถวาย ให้ท่านตามแต่ โอกาส จะอำนวยให้ ปลอกกระสุนปืนที่นำมาทำ "ตะกรุด" นี้จะมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ต่อมาในช่วงหลัง ปลอกกระสุนปืนหายาก ก็เลยมีการนำแผ่นทองคำ มารีดบางๆ แล้วประกอบ เป็นรูปทรงกระบอก เหมือน ปลอกกระสุนปืนแทน ซึ่งก็ได้รับความนิยมชมชอบเช่นกัน

ตำราการสร้าง "ตะกรุดลูกปืน" หรือ "ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป" นี้ มีประวัติความ เป็นมา ที่แปลกประหลาด พิสดารมาก รับรองว่าไม่มีตำราการสร้าง "ตะกรุด" สำนักไหนเหมือนของ พระอาจารย์นอง อย่างแน่นอน ผมได้เคย ฟังท่านเล่ามาหลายครั้ง พอดีมาพบเห็นในหนังสือ ที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ อาจารย์นอง วัดทรายขาว ซึ่งจะ มีขึ้นใน วันจันทร์ที่ ๒๐ พ.ค.๒๕๔๕ นี้ โดยหนังสือเล่มนี้ผมได้รับความเอื้อเฟื้อจาก คุณวัชรพงษ์ ระดมเพ็ง บรรณาธิการนิตยสาร "กรุงสยาม" ก็เลยขอคัดลอกบางส่วนมาลงให้อ่านกัน พร้อมทั้ง ภาพประกอบ ที่ได้จากหนังสือเล่มนี้เช่นกัน

 ในหนังสือเล่มนี้บันทึกไว้โดยสรุปได้ว่า....พระครูสังฆรักษ์สายันต์ จนฺทสโร เจ้าอาวาส วัดช้างให้ รูปปัจจุบันนี้ ได้พูดถึง "ตะกรุดนารายณ์แปลง" นี้ว่า พระอาจารย์นอง ได้เล่าว่า...คืนวันหนึ่ง...ในสมัยที่ วัดทรายขาว ยังเป็นวัดที่ลำบากมาก คือยังไม่มีศาสนสถานเหมือนปัจจุบันนี้ พระอาจารย์นอง ได้อาศัยอยู่ที่กุฏิหลังเก่า ทางด้าน ทิศใต้ ของวิหารจตุรมุข หลวงพ่อหินอ่อน ในปัจจุบันนี้ ได้มี "นางไม้" ตนหนึ่ง มาปรากฏ ที่เสากุฏิ แล้วได้มอบ คาถาในการปลุกเสก ตะกรุดนารายณ์แปลงรูปอาจารย์นอง วัดทรายขาว ให้เพื่อที่จะได้มีส่วนร่วม ในการทำบุญกุศล ในการสร้างวัดทรายขาว พระอาจารย์นอง จึงได้นำแผ่นทองคำเปลวไปติดที่เสาต้นนั้น ปัจจุบันนี้ กุฏิหลังเก่า นี้ยังมีอยู่ทางวัดได้เก็บไว้เป็นอนุสรณ์

สำหรับ "นางไม้" ที่ชาวบ้านเรียกกันนั้นก็คือ "แม่นางจันทร์" ซึ่งพระเณรใน วัดทรายขาว มักจะฝันเห็น กันบ่อย และนำไปเล่าให้ พระอาจารย์นอง ฟังอยู่เสมอ พระอาจารย์นอง ได้ปรารภอยู่เสมอว่า "แม่นางจันทร์" ได้มาบอกว่า ขอให้สร้าง "ศาลพระภูมิ" ทรงไทยให้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้สร้าง...จวบจนทุกวันนี้

สำหรับตำนาน "ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป" อีกกระแสหนึ่งที่ผมได้รับฟังมาจาก อาจารย์นอง วัดทรายขาวโดยตรง ก็คือ...สมัยที่ พระอาจารย์นอง ยังอยู่ที่กุฏิหลังเก่า มี "นางไม้" ตนหนึ่งคือ "แม่นางจันทร์" มายืนร้องไห้ อยู่หน้ากุฏิ บอกว่าจะให้ พระอาจารย์นอง ออกไปพบ เพื่อมอบตำราการสร้าง "ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป" ตอนแรก พระอาจารย์นอง ไม่ยอมออกไป เพราะเป็นเวลาวิกาลและการพบกับผู้หญิง ไม่เป็นการสมควร แต่ "นางไม้" ได้อ้อนวอน อยู่หลายครั้งโดยบอกว่า อยากจะมอบตำรานี้ให้ เพื่อจะได้มีส่วนสร้าง วัดทรายขาว ด้วย หากไม่ได้ ถ่ายทอด วิชานี้ให้กับ พระอาจารย์นอง ซึ่งตนเห็นว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ตนเองก็จะไปจุติใหม่ไม่ได้ และว่าตน เป็นเทพ อีกภพหนึ่ง ไม่ใช่มนุษย์ การที่ พระอาจารย์นอง ออกไปพบจึงไม่มีอะไรเสียหาย ในที่สุด อาจารย์นอง วัดทรายขาว จึงได้ออกไปพบ และได้มีการถ่ายทอดตำราวิชาการสร้าง "ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป" และคาถาอาคมกำกับให้ อาจารย์นอง โดย "ห้ามมีการจด" แต่ให้จำเพียงอย่างเดียว อาจารย์นอง ก็จำได้หมดสิ้น ก่อนจะจากหายไป "แม่นางจันทร์" ได้บอกว่า ตำรานี้ ห้ามถ่ายทอด ให้คนอื่น อย่างเด็ดขาด ถ้าหาก อาจารย์นอง ละสังขารไปเมื่อใด ก็ให้หาย สาบสูญ ไปด้วยเลย... ด้วยเหตุนี้ พระอาจารย์นอง จึงไม่ได้ถ่ายทอด วิชานี้ให้กับใคร...สำหรับ "ของดี" ที่บรรจุ อยู่ใน "ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป" นี้เป็นเปลือก ของต้นไม้ ศักดิ์สิทธิ์ อย่างหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกับหลวงปู่ทวด ซึ่งมีอยู่บนยอดเขาเหนือวัดทรายขาว และ พระอาจารย์นอง ก็ไม่เคย บอกใครเลยว่า เป็นต้นไม้อะไร ?

สำหรับ "ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป" ได้สร้างชื่อเสียงให้กับ พระอาจารย์นอง มาก เพราะมีผู้นำ ไปใช้แล้ว มีประสบการณ์ ทางด้านแคล้วคลาดปลอดภัยมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีเมตตามหานิยมเป็นเยี่ยม ใครมีติดตัวไว้ จะเป็น ที่รักใคร่ ของคนทั่วไป ผมได้เคยรับแจก "ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป" จาก พระอาจารย์นอง บ่อยๆ บางครั้ง เมื่อมีผู้ใด มาขอต่อก็ได้มอบให้ไป เพราะถือว่ากลับไปขอใหม่ได้ จนทุกวันนี้เหลืออยู่เพียง ๒-๓ ดอกเท่านั้นก็คงต้องเก็บไว้ใช้ ส่วนตัวเพราะไม่มีโอกาสจะหาได้อีกแล้ว ทราบว่าในข่าววงการพระเครื่องปัจจุบันเช่าหากันถึงดอกละ ๒ พันบาท ขึ้นไป

เมื่อ พระอาจารย์นอง ได้ละสังขารจากไปแล้ว มีผู้สงสัยใคร่รู้กันว่า ใครจะเป็นผู้สืบทอด พุทธาคม ในสายนี้...? โดยเฉพาะ ตำราการปลุกพระเครื่องหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ซึ่งแม้ที่อื่นจะทำได้ ก็ไม่เหมือน สายตรง จากวัดช้างให้ ในเบื้องต้น พระอาจารย์นอง ได้ตั้งใจที่จะมอบวิชาอาคมให้กับ พระครูสังฆรักษ์สายันต์ จนฺทสโร เจ้าอาวาส วัดช้างให้ รูปปัจจุบันแต่ พระครูสังฆรักษ์สายันต์ ได้ปฏิเสธ ดังนั้น พระอาจารย์นอง จึงได้ถ่ายทอด วิชาอาคม ให้กับลูกศิษย์อีกรูปหนึ่ง คือ พระครูอาทรศุภการ (พระอาจารย์พล อาสโภ) เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ รูปปัจจุบัน โดยเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๓๙ ตรงกับวันแรม ๑ คํ่า เดือน ๖ เวลา ๐๙.๐๐ น.อาจารย์นอง ได้เรียก พระอาจารย์พล ไปพบที่วัดทรายขาว เพื่อประกอบพิธีครอบครูและถ่ายทอดคาถาปลุกเสกพระหลวงพ่อทวดวัดช้างให้ และเวทมนต์คาถาต่างๆ ให้กับพระอาจารย์พลจนหมดสิ้น (ยกเว้นตำรา การสร้างและปลุกเสก "ตะกรุดนารายณ์แปลงรูป")

การถ่ายทอดวิชาคาถา ให้นั้นเป็นการมอบแบบวิธีโบราณกาล คือโดยวิธีมุขบาฐ คือการบอกกันปากต่อปาก โดยใน เบื้องแรกสุดนั้น พระอาจารย์นอง ได้ท่องคาถาให้ พระอาจารย์พล ฟังก่อน แล้วให้จดตามเอาเอง เมื่อจดเสร็จแล้ว พระอาจารย์พล ก็อ่านให้ พระอาจารย์นอง ฟัง เมื่อ พระอาจารย์นอง ฟังแล้วเห็นว่าถูกต้อง พระอาจารย์นอง ก็ได้ส่งมอบคาถาให้กับ พระอาจารย์พล อย่างเป็นทางการ พร้อมกับสั่ง กำชับให้นำคาถาเหล่านี้ ไปใช้เพื่อเป็น การช่วยเหลือ เกื้อกูลแก่ชาวบ้านเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม จึงนับได้ว่า การมอบคาภาปลุกเสก พระหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ในครั้งนี้เป็นการถ่ายทอดพุทธาคมจาก พระอาจารย์นอง ถึง พระอาจารย์ผล อย่างเป็นทางการ ผมได้มีโอกาสไปกราบไหว้ พระอาจารย์พล วัดนาประดู่ มาหลายครั้งแล้ว ก็ประทับใจในความเป็น "พระแท้" ของพระอาจารย์พลมาก นับเป็น พระอาจารย์ ผู้มีปฏิปทาน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสอย่างแท้จริงอีกรูปหนึ่ง ท่านมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ สมถะ สันโดษ ไม่สะสมสมบัติพัสถานใดๆ มีความเมตตาเอื้ออาทรต่อชาวบ้านเหมือนกับ พระอาจารย์นอง ทุกอย่าง จึงนับได้ว่า อาจารย์นอง ท่านมองคนไม่ผิด ทุกวันนี้ ใครไปกราบไหว้ พระอาจารย์พล ที่วัดนาประดู่ ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "นี่คือ เพชรแท้แห่งเมืองใต้" ประวัติพระเกจิอาจารย์

กล่าวสำหรับ อาจารย์นอง วัดทรายขาว ที่ผมเคยได้กราบไหว้มาหลายสิบปี มีความประทับใจท่านหลายอย่าง สมัยก่อนโน้น บ้านเมืองยังไม่เจริญมากนัก มีลูกศิษย์จากในตัวเมืองปัตตานีบ้าง ยะลาบ้าง หาดใหญ่บ้าง เอาพัดลม ตู้เย็น และเครื่องใช้ ไฟฟ้าต่างๆ ไปถวายท่านเป็นประจำ ท่านปฏิเสธที่จะรับ โดยบอกว่า...เมื่อเช้านี้ชาวบ้านที่เขาตักให้ท่าน ยังไม่มี ของเหล่านี้ใช้กันเลย ท่านเป็นพระ ต้องอาศัยข้าวของชาวบ้านขบฉัน จะใช้ชีวิตที่ดีกว่าชาวบ้าน ซึ่งยัง ลำบากยากจนอีกมากมาย

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประวัติ หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ prathaiamata

หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ เหยียบน้ำทะเลจืด

ประวัติหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ เหยียบน้ำทะเลจืด จังหวัดปัตตานี
     เรื่องราวประวัติของ "หลวงพ่อทวด วัดช้างให้" นั้นเป็นเรื่องราวตามตำนาน กล่าวเล่าสืบต่อกันมาบางตำนานบางตอนของ ประวัติหลวงพ่อทวดผู้เล่าก็อาจเสริมเพิ่มเติมกันไปบ้างเกี่ยวกับเรื่องราวอภินิหารต่างๆ แต่ก็ถือว่ามีเค้าเรื่องจริงเป็นแก่นแท้อยู่ หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่างๆ ซึ่งได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือ"ประวัติหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้"และเอกสารต่างๆ
พระเครื่องของ หลวงพ่อทวด ถึงแม้ว่าท่านไม่ได้สร้างเองแต่ในความศักดิ์สิทธิ์นั้น คงไม่มีใครจะปฏิเสธได้ ความนิยมในวัตถุมงคลหรือ พระเครื่อง หลวงปู่ทวด วัดช้างให้  นั้นถือว่าเป็นอมตะควบคู่ไปกับตำนานเล่าขานสืบต่อกันไป ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ซึ่งผู้สร้างตำนานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ คือ พระอาจารย์ทิม ธมฺมธโร(พระครูวิสัยโสภณ)
ประวัติวัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้)
    วัดราษฎร์บูรณะ หรือวัดช้างให้ ตั้งอยู่ที่ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ชิดกับทางรถไฟสายใต้ (ระหว่างหาดใหญ่-ไปยะลา) วัดช้างให้สร้างขึ้นเมื่อใด ใครเป็นคนสร้างครั้งแรกก็ยังหาหลักฐานแน่นอนไม่ได้ มากนัก ก็พอจะอ้างอิงตามหนังสือตำนานเมืองปัตตานีได้บ้าง ซึ่งหนังสือตำนานเมืองปัตตานีรวบรวมโดย พระศรีบุรีรัฐพิพิธ (สิทธิ์ ณ สงขลา) ดังบทความตอนหนึ่งว่า
     สมัยพระยาแก้มดำ เจ้าเมืองไทรบุรี ปรารถนาต้องการจะหาที่ เพื่อที่จะสร้างเมืองให้ “เจ๊ะสิตี”น้องสาวครอบครอง เมื่อโหรหาฤกษ์ยามดีได้เวลา ท่านเจ้าเมืองก็เสี่ยงสัตย์อธิฐานปล่อยช้างตัวสำคัญคู่บ้านคู่เมืองออกเดิน ป่าหรือเรียกว่า “ช้างอุปการ” เพื่อหาที่ชัยภูมิดีสร้างเมือง ท่านเจ้าเมืองก็ยกพลบริวารเดินตามหลังช้างนั้นไปเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งช้างได้เดินไปหยุดอยู่ ณ ที่ป่าแห่งหนึ่ง(ที่วัดช้างให้เวลานี้) แล้วเดินวนเวียนร้องขึ้น 3 ครั้งพระยาแก้มดำถือเป็นนิมิตที่ดีจะสร้างเมือง ณ ที่ตรงนี้ แต่น้องสาวตรวจดูแล้วไม่ชอบ พี่ชายก็อธิษฐานให้ช้างดำเนินหาที่ใหม่ต่อไป ได้เดินรอนแรมหลายวัน เวลาตกเย็นวันหนึ่งก็หยุดพักพลบริวารน้อง สาวถือโอกาสออกจากที่พักเดินเล่น บังเอิญขณะนั้นมีกระจงสีขาวผ่องตัวหนึ่ง วิ่งผ่านหน้านางไปนางอยากจะได้กระจงขาวตัวนั้น จึงชวนพวกพี่เลี้ยงวิ่งไล่ล้อมจับ กระจงตัวนั้นได้วิ่งวกไปเวียนมาบนหาดทรายอันขาวสะอาดริมทะเล ( คือตำบล กือเซะเวลานี้ ) ทันใดนั้น กระจงก็ได้อันตรธานหายไป นางเจ๊ะสิตี รู้สึกชอบที่ตรงนี้มากจึงขอให้พี่ชายสร้างเมืองให้ เมื่อพระยาแก้มดำปลูกสร้างเมืองให้น้องสาว และมอบพลบริวารให้ไว้พอสมควรเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ชื่อเมืองนี้ว่า “เมืองปะตานี” ( ปัตตานี ) ขณะนั้นพระยาแก้มดำเดินทางกลับมาถึงภูมิประเทศที่ช้างบอกให้ครั้งแรก ก็รู้สึกเสียดายสถานที่ จึงตกลงใจหยุดพักแรมทำการแผ้วถางป่า และปลูกสร้างขึ้นเป็นวัดให้ชื่อว่า “วัดช้างให้” มาจนบัดนี้ ต่อมาพระยาแก้มดำ ก็ได้มอบถวายวัดช้างให้ แก่ “ท่านลังกา”ครอบครอง พระภิกษุชราองค์นี้ท่านอยู่เมืองไทรบุรีเขาเรียกว่าท่านลังกาเมื่อท่านมา อยู่วัดช้างให้ชาวบ้านเรียกว่าท่านช้างให้เป็นเช่นนี้ตลอดมา

     สมัยโบราณนั้น คนมลายูนับถือศาสนาพุทธ พระยาแก้มดำคนมลายูจึงได้สร้างวัดช้างให้ขึ้น อ้างตามหนังสือของพระยารัตนภักดี เรื่องปัญหาดินแดนไทยกับมลายู หน้า 8 บรรทัด 16 ในหนังสืออิงตามประวัติศาสตร์ว่า พ.ศ.1300 กษัตริย์ครองกรุงศรีวิชัยแห่งปาเล็มบัง มีอานุภาพแผ่ไพศาลอาณาเขตเข้ามาถึงแหลมมลายู และได้ก่อสร้างสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาไว้หลายแห่ง มีผู้พบศิลาจารึกแผ่นหนึ่งที่ นครศรีธรรมราช บันทึกว่า เมื่อพ.ศ.1318 เจ้าเมืองศรีวิชัย ได้มาก่อสร้างพระเจดีย์ที่นครศรีธรรมราชและที่สำคัญอีกแห่งคือ พระพุทธไสยาสน์ในถ้ำที่ภูเขา (วัดหน้าถ้ำ) ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา คาดว่าสร้างเมื่อสมัยกรุงศรีวิชัย ระหว่างพ.ศ.1318-1400 ต่อมามีการปฎิสังขรณ์เพิ่มเติมตามที่เห็นในปัจจุบัน

ขณะที่ท่านลังกา"หลวงพ่อทวด"พำนักอยู่ที่วัดในเมืองไทรบุรีวันหนึ่งอุบาสก อุบาสิกา และลูกศิษย์อยู่พร้อมหน้าท่านได้พูดขึ้นในกลางชุมนุมนั้นว่า ถ้าท่านมรณภาพเมื่อใดขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย และขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเน่าไหลลงสู่พื้นดินที่ตรงนั้นจงเอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ต่อไปข้าง หน้าจะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่มาไม่นานท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชราคณะศิษย์ผู้เคารพในตัวท่านก็ได้ จัดการตามที่ท่านสั่งโดยพร้อมเพรียงกันเมื่อทำการฌาปณกิจศพท่านเรียบร้อย เมื่อ พ.ศ.2501 พระครูวิสัยโสภณ ได้เดินทางไปบูชามาแล้วทุกสถานที่ แต่ละสถานที่ก็มีสภาพเหมือนสถูปที่บรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดที่วัดช้างให้เมื่อครั้งยังไม่ได้ตบแต่งสร้างใหม่สอบถามชาวบ้านแถบๆนั้นดู ต่างก็เล่นถึงเรื่องราวที่สืบทอดต่อกันมาให้อาจารย์ทิมและคณะฟังว่าเป็นสถานที่ตั้งศพหลวงพ่อทวด เมื่อมาพักแรมมีน้ำเหลืองหยดตกลงพื้นก็เอาไม้ปักทำเครื่องหมายไว้ บางแห่งก็ก่อสร้างเป็นสถูปเจดีย์ก็มี แล้วคณะศิษย์ผู้ไปส่งได้ขอแบ่งเอาอัฐิของท่านแต่ส่วนน้อยนำกลับไปทำสถูปที่ วัด ณ เมืองไทรบุรีไว้เป็นที่เคารพบูชาตลอดจนบัดนี้สมเด็จเจ้าพะโคะกับท่านช้างให้ หรือ"หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" นี้สมัยท่านยังมีชีวิตมีชื่อที่ใช้เรียกท่าน หลายชื่อเช่น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ ท่านลังกา และท่านช้างให้ แต่เมื่อท่านมรณภาพแล้วเรียกเขื่อนหรือสถูปศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอัฐิของท่าน ว่า “เขื่อนท่านช้างให้” เขื่อน หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด (คำว่าเขื่อนเป็นภาษพื้นเมืองทางใต้ หมายถึงสถูปที่บรรจุอัฐิของท่านผู้มีบุญนั่นเอง) เมื่อ พ.ศ. 2480 พระครูมนูญสมณการ วัดลานุภาพ ได้ชวนชาวบ้านช้างให้และใกล้เคียงไปทำการแผ้วถางวัดร้างแห่งนี้ โดยจัดบูรณะให้เป็นวัดมีพระสงฆ์เข้าจำพรรษาและในปีนั้นเอง ได้ให้พระภิกษุช่วงมาอยู่ก็ได้มีการจัดสร้างถาวรวัตถุ ขึ้น เช่นศาลาการเปรียญ และกฏิ2-3หลัง ครั้งต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2484 พระภิกษุช่วงก็ได้ลาสิกขาบท วัดช้างให้จึงขาดเจ้าอาวาสและผู้นำลง พระครูภัทรกรณ์โกวิท เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ จึงได้ให้พระภิกษุทิม (พระครูวิสัยโสภณ) ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้ตามที่ชาวบ้านขอมา
     พระภิกษุทิม ได้ย้ายไปอยู่วัดช้างให้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2484 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น15ค่ำเดือน8 พระภิกษุทิม มาอยู่วัดช้างให้ตอนแรก ก็ไปๆมาๆอยู่กับวัดนาประดู่ กลางวันต้องไปสอนนักธรรมวัดนาประดู่

พระอาจารย์ทิม และพระอาจารย์นอง

    สถูปบรรจุอัฐิ"หลวงพ่อทวด"นั้น พระครูวิสัยโสภณ และพระครูธรรมกิจโกศล (พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว) ได้ปรึกษาหารือกันตกลงให้รื้อขุดของเก่าขึ้นมาเพื่อสร้างใหม่ แต่เมื่อขุดลงไปก็ได้พบหม้อทองเหลืองและมีอัฐิหลวงพ่อทวดห่อผ้าอยู่ในหม้อทองเหลืองอีกชั้นหนึ่ง หม้อทองเหลืองได้ผุเปื่อย ไม่กล้าเอามือจับต้องเพราะเกรงสภาพจะผิดเปลี่ยนไปจากสภาพเดิม จึงได้จัดสร้างสถูปสวมครอบลงบนสถูปเดิม ซึ่งปรากฏตามที่เห็นมาในปัจจุบัน วัดช้างให้ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า วัดราษฎร์บูรณะ อยู่ที่ ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ห่างจากปัตตานีประมาณ 26 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 1,032 กิโลเมตร ไดรับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ตามพระราชกิจจานุเบกษาเล่ม 74 ตอน 15 หน้า 451 - 252 เขตวิสุงคามสีมายาว 80 เมตร กว้าง 40 เมตร ทำพิธีผูกพัทธสีมาเมื่อ วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2501 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ มีที่ดินที่ตั้งวัดเป็นเนื้อที่จำนวน 12 ไร่ ตามหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 334/2498
ประวัติหลวงปู่ทวด ในหนังสือหลวงพ่อทวดของ สมพงษ์ หนูรักษ์ว่า กล่าวว่า
1. ท่านลังกา องค์ท่านดำ ไม่ทราบชื่อเดิม ภูมิลำเนาเดิมที่ใดเป็นเพียงขนานนาม
2. หลวงพ่อสี
3. หลวงพ่อทอง
4. หลวงพ่อจันทร์
5. หลวงพ่อทิม (อาจารย์ทิม ธมฺมธโร) หรือพระครูวิสัยโสภณ ๑ ตำนานที่เล่าขานสืบต่อมาจากคนเฒ่าคนแก่บอกว่าวัดช้างให้หมายความว่าที่ดิน วัดนี้ ช้างบอกให้ เป็นวัดโบราณแห่งหนึ่ง มีอายุประมาณ ๔๐๐ กว่าปี มีเจ้าอาวาสปกครองวัดดังนี้
1. สมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ไม่สามารถระบุปีพุทธศักราชได้
2. พระช่วง พ.ศ. 2480 ถึง พ.ศ. 2483
3. พระครูวิสัยโสภณ (ทิม ธมฺมธโร) พ.ศ. 2483 ถึง พ.ศ. 2512
4. พระครูใบฎีกาขาว ธมฺมรกฺขิโต พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2521
5. พระไพศาลสิริวัฒน์ (สวัสดิ์ อรุโณ) พ.ศ. 2521 ถึง 2543
6. พระครูปริยัติกิจโสภณ (สายันต์ จนฺทสโร) พ.ศ. 2543 ถึงปัจจุบัน
ประวัติพระครูวิสัยโสภณ(อาจารย์ทิม)
พระครูวิสัยโสภณ นามเดิมชื่อ ทิม นามสกุล พรหมประดู่ เกิดวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2455 ปีชวด ณ บ้านนาประดู่ ตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เป็นบุตรของ นายอินทอง นางนุ่ม พรหมประดู่ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน6คน
     1.นายเพิ่ม พรหมประดู่
     2.พระครูวิสัยโสภณทิม (ทิม พรหมประดู่)
     3.ด.ช.แว้ง พรหมประดู่ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
     4.พระครูใบฎีกาขาว
     5.ด.ญ.แจ้ง พรหมประดู่ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
     6.นายเคี่ยม พรหมประดู่
การศึกษาเมื่อปฐมวัย เมื่ออายุได้ 9ปี บิดามารดาได้นำไปฝากให้อยู่กับพระครูภัทรกรณ์โกวิท(เมื่อยังเป็น พระภิกษุแดง ธมมโชโต) เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้านเพื่อให้เรียนหนังสือ และได้เข้าเรียนทีโรงเรียนวัดนาประดู่ เรียนได้เพียง ป.3 แล้วออกจากโรงเรียน แต่ก็ยังอยู่กับพระภิกษุแดง เรียนหนังสือสวดมนต์
     เมื่ออายุได้18ปี ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดนาประดู่ ตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 7มิถุนายน 2476
พระครูพิบูลย์สมณวัตร เจ้าคณะใหญ่เมืองหนองจิก วัดมุจลินทวาปีวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอธิการพุฒ ติสสโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการแก้ว เป็นอนุสาวนาจารย์
เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนาประดู่ 2พรรษา แล้วยังไปอยุ่สำนักวัดมุจลินทวาปีวิหาร เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม ครั้นต่อมาได้กลับมาเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมวัดนาประดู่ ในระหว่างที่เป็นครูสอนนั้น ได้จัดการสร้างกุฏิขึ้น 1หลัง โดยร่วมกันสร้างกับพระภิกษุนอง ธมมภูโต(อาจารย์นอง วัดทรายขาว)
วิทยฐานะในทางพระ สอบนักธรรมชั้นเอกได้ในสนามหลวงวัดพลานุภาพ จังหวัดปัตตานี เมื่อ พ.ศ.2487 ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2484 ขึ้น 15ค่ำ เดือน8 ปีมะเส็ง จ.ศ.1303

     สรุปหน้าที่ตำแหน่งและสมณะศักดิ์
พ.ศ.2481-84 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมวัดนาประดู่
พ.ศ.2484 ย้ายไปเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้)
พ.ศ.2491 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้)
พ.ศ.2493 เป็นกรรมการสงฆ์อำเภอโคกโพธิ์ ตำแหน่งเผยแผ่อำเภอ
พ.ศ.2499 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เป็นพระครูวิสัยโสภณ
พ.ศ.2508 ได้รับเลื่อนสมณะศักดิ์ในนามเดิม เป็นพระครูชั้นโทพัดยศขาว ฝ่ายวิปัสสนา
พ.ศ.2509 ได้รับตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2510 ได้เริ่มอาพาธ
- วันที่ 5 พฤศจิกายน 2512 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช หนึ่งสัปดาห์ แล้วกลับไปพักที่วัดเอี่ยมวรนุช บางขุนพรหม 2-3 วันด้วยเหตุยังไม่ตกลงใจผ่าตัดหรือไม่ “ตกลงไม่ผ่า”
- วันที่ 7พฤศจิกายน 2512 ได้ทำหนังสือพินัยกรรม ที่วัดเอี่ยมวรนุช ให้ผู้ที่มีรายชื่อ5ท่าน เป็นผู้รับมอบพินัยกรรม จัดการทรัพย์สินของวัดและดำเนินการในเรื่องต่างๆ
- วันที่ 17 พฤศจิกายน 2512 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกลาง จนกระทั่งถึงวันที่30 พฤศจิกายน 2512 เวลา 00.37 น. มรณภาพ
- วันที่ 24 พฤศจิกายน 2518 พระราชทานเพลิงศพ ท่านอาจารย์ทิม ที่วัดช้างให้ ปัตตานี
สถูปหลวงพ่อทวด วัดช้างให้

ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ อันมีสถูปศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบรรจุอัฐิ หลวงพ่อทวด สถูปนี้ตั้งใกล้กับทางรถไฟ  อดีตวัดแห่งนี้ ประวัติวัดช้างให้เคยเป็นวัดร้างแต่ละครั้งแต่ละหนเป็นเวลาห่างกันนานๆ ตั้งสิบกว่าปีหรือบางครั้งถึงร้อยปีก็มีในปี พ.ศ.2484 พระครูวิสัยโสภณ หรือในที่รู้จักกันในนาม ท่านอาจารย์ทิม ธมมธโร ได้เข้ามาครอบครองเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 5 ได้ทำการบูรณะวัดต่อเติมจนเรียบร้อย ทำให้วัดช้างให้สะอาดสะอ้านขึ้นมาก ทางด้านสถูปศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบรรจุอัฐิของ หลวงปู่ทวด ประดิษฐานอยู่ที่หน้าวัด เป็นที่จูงใจประชาชนหลายชาติหลายภาษาได้มาเคารพบูชาเป็นจำนวนมากทุกวัน
      หลังจากท่านอาจารย์ทิม ฝันว่าได้พบกับ หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนอยู่ในเวลานี้ วันหนึ่งท่านอาจารย์ทิมนึกสนุก จึงเก็บเอาก้นเทียนที่ตกอยู่ริมเขื่อน(สถูป) มาคลึงเป็นลูกอมแล้วแจกจ่ายให้กับเด็กวัดไป แต่ปรากฏเป็นที่อัศจรรย์แก่ท่าน เมื่อเด็กได้ลูกอมก้นเทียนไปแล้ว ก็เอาลูกอมสีผึ้งนี้อมในปาก แล้วลองแทงฟันกันด้วยมีดพร้าและของมีคม แต่แทงฟันกันไม่เข้าเลย จนเรื่องทราบถึงอาจารย์ทิม ท่านก็ตกใจเพราะเกรงเป็นอันตรายกับเด็ก จึงเรียกเด็กมาอบรมสั่งสอนห้ามไม่ให้ทดลองกันต่อไป
      หลังจากนั้นท่านเริ่มสนใจในคำปวารณาของ"หลวงพ่อทวด"ว่า จะเอาอะไรให้ขอ ก็พอดีมีพวกชายหนุ่ม ผู้ชอบทางคงกระพันได้พากันมาของให้อาจารย์สักยันต์ลงกระหม่อมเพื่อไว้คุ้มครองตัว ท่านอาจารย์ทิมก็สักให้แล้วระลึกถึงหลวงพ่อทวด แล้วก็สักแต่แต่มือจะพาไปเพราะท่านไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี้มา ปรากฏว่าศิษย์ท่านที่มาสักยันต์เกิดไปลองดีกับศิษย์อาจารย์อื่น แล้วไม่มีศิษย์อาจารย์อื่นสู้ได้เลย (ขณะนั้นก่อนหลังสงครามโลกครั้งที่2เล็กน้อย) หลังจากนั้นทางคณะสงฆ์ผู้ใหญ่สั่งห้ามพระภิกษุสักลงกระหม่อม ท่านอาจารย์ทิม จึงงดรับการสักตั้งแต่บัดนั้นมา

เนื่องจากทราบกิตติศัพท์ในอดีตสมัยที่"หลวงพ่อทวด"เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา ด้วยเรือสำเภา ระหว่างทางได้เกิดพายุพัดจนกระทั่งข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มตกลงทะเลไป ลูกเรือกระหายน้ำมาก หลวงพ่อทวดจึงได้แสดงอภินิหารหย่อนเท้าลงไปในทะเล ปรากฏว่าน้ำทะเลในบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำจืดและดื่มกินได้ ตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงของท่านขจรขจายไปทั่วหล้า คนได้มาทำการสักการะจนท่านอาจารย์ทิมดำริจะสร้างอุโบสถไว้ เพื่อเป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนาและจะได้เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสงฆ์ใน วัดได้มาทำสังฆกรรมต่อไปความจริงนั้นครั้งโบราณกาลมา วัดช้างให้เคยมีอุโบสถมาก่อนแล้วแต่ชำรุดสลายตัวไปหมด เพราะเวลาที่ปรากฏเป็นให้เห็นเพียงพัทธสีมาและเนินดินที่เป็นอุโบสถเก่าแก่ เท่านั้น ท่านอาจารย์ทิมจึงได้กำหนดวางศิลาฤกษ์ อันเป็นรากฐานของอุโบสถแห่งใหม่ในวันที่ 6 สิงหาคม 2495 แล้วขุดดินลงรากก่อกำแพงหน้าอุโบสถสืบต่อมาจนถึง พ.ศ.2496 งานก่อสร้างสำเร็จลงเพียงแค่กำแพงอุโบสถโดยรอบเท่านั้นงานก่อสร้างหยุดชะงัก ลงเพราะหมดทุนที่จะใช้จะจ่ายต่อไป

ประวัติการสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
   กำเนิดพระเครื่องหลวงปู่ทวด ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.2497 "หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด"เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดช้างให้ได้ประทานนิมิตอัน เป็นมงคลยิ่งแก่ นายอนันต์ คณานุรักษ์ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ห่างจากวัดประมาณ 31 กิโลเมตร ให้สร้างพระเครื่องรางเป็นรูปภิกษุชรา ขึ้นแท่นองค์ของท่าน นายอนันต์นมัสการพร้อมทั้งปรึกษาท่านอาจารย์ทิม และเตรียมงานสร้างพระเครื่องในวันที่ 19 มีนาคม 2497 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 เวลาเที่ยงตรง ได้ฤกษ์พิธีปลุกเสกเบ้าและพิมพ์พระเครื่องหลวงพ่อทวดเรื่อยมาทุก ๆ วัน จนถึงวันที่ 15 เมษายน 2497 พิมพ์พระเครื่อง"หลวงพ่อทวด"รุ่นแรกได้ 64,000 องค์ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะพิมพ์ให้ได้ 84,000องค์ แต่เวลาจำกัดในการพิธีปลุกเสก ก็ต้องหยุดพิมพ์พระเครื่องเพื่อเอาเวลาเตรียมงานพิธีปลุกเสกพระเครื่องหลวงปู่ทวดตาม เวลาที่หลวงพ่อทวดกำหนดให้พระครูปฏิบัติ และแล้ววันอาทิตย์ ที่ 18 เมษายน 2497 ขึ้น 15 ค่ำเวลาเทียงตรงได้ฤกษ์พิธีปลุกเสกพระเครื่องหลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ณ เนินดินบริเวณอุโบสถเก่า โดยมีท่านอาจารย์ทิมเป็นอาจารย์ประธานในพิธีและนั่งปรกได้อาราธนาอัญเชิญพระ วิญญาณหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดพร้อมวิญญาณหลวงพ่อสี หลวงพ่อทอง และหลวงพ่อจัน ซึ่งหลวงพ่อทั้งสามองค์นี้สิ่งสถิตอยู่รวมกับหลวงพ่อทวดในสถูปหน้าวัดขอ ให้ท่านประสิทธิ์ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ความขลังแด่พระเครื่องฯ นอกจากนั้นก็มี หลวงพ่อสงโฆสโก เจ้าอาวาสวัดพะโคะ พระอุปัชฌาย์ดำ วัดศิลาลอง พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์อาวุโส ณ วัดช้างให้ ร่ายพิธีปลุกเสกพระเครื่องสมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เสร็จลงในเวลา 16.00 น. ของวันนั้นท่านอาจารย์ทิมพร้อมด้วยพระภิกษุอาวุโสและคณะกรรมการวัดนำทีมโดย นายอนันต์ คณานุรักษ์ ได้ร่วมกันทำการแจกจ่ายพระเครื่องหลวงพ่อทวดให้แก่ประชาชนผู้เลื่อมใสซึ่งมา คอยรอรับอยู่อย่างคับคั่งจนถึงเวลาเทียงคืนปรากฏว่าในวันนั้น คือ วันที่ 18 เมษายน 2497 กรรมการได้รับเงินจากผู้ใจบุญโมทนาสมทบทุนสร้างอุโบสถเป็นจำนวนเงิน 14,000 บาท หลังจากนั้นมาด้วยอำนาจบุญบารมีอภินิหาร"หลวงพ่อทวด"ได้ดลบรรดาลให้พี่น้อง หลายชาติหลายภาษาร่วมสามัคคีสละทรัพย์โมทนาสมทบทุนสร้างอุโบสถดำเนินไป เรื่อยๆ มิได้หยุดหยั่งจนถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2499 ได้จัดพิธียกช่อฟ้าและวันที่ 31 พฤษภาคม 2501 ได้ทำพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถหลังนี้จึงสำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์

ประวัติ หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ เหยียบน้ำทะเลจืด
หลวงพ่อทวด วัดช้างให้
หลวงพ่อทวด วัดช้างให้ เหยียบน้ำทะเลจืด

ประวัติหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ เหยียบน้ำทะเลจืด จังหวัดปัตตานี
     เรื่องราวประวัติของ "หลวงพ่อทวด วัดช้างให้" นั้นเป็นเรื่องราวตามตำนาน กล่าวเล่าสืบต่อกันมาบางตำนานบางตอนของ ประวัติหลวงพ่อทวดผู้เล่าก็อาจเสริมเพิ่มเติมกันไปบ้างเกี่ยวกับเรื่องราวอภินิหารต่างๆ แต่ก็ถือว่ามีเค้าเรื่องจริงเป็นแก่นแท้อยู่ หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่างๆ ซึ่งได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือ"ประวัติหลวงพ่อทวด วัดช้างไห้"และเอกสารต่างๆ



     พระเครื่องของ หลวงพ่อทวด ถึงแม้ว่าท่านไม่ได้สร้างเองแต่ในความศักดิ์สิทธิ์นั้น คงไม่มีใครจะปฏิเสธได้ ความนิยมในวัตถุมงคลหรือ พระเครื่อง หลวงปู่ทวด วัดช้างให้  นั้นถือว่าเป็นอมตะควบคู่ไปกับตำนานเล่าขานสืบต่อกันไป ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ซึ่งผู้สร้างตำนานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ คือ พระอาจารย์ทิม ธมฺมธโร(พระครูวิสัยโสภณ)

วัดช้างให้
วัดช้างให้

ประวัติวัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้)
    วัดราษฎร์บูรณะ หรือวัดช้างให้ ตั้งอยู่ที่ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ชิดกับทางรถไฟสายใต้ (ระหว่างหาดใหญ่-ไปยะลา) วัดช้างให้สร้างขึ้นเมื่อใด ใครเป็นคนสร้างครั้งแรกก็ยังหาหลักฐานแน่นอนไม่ได้ มากนัก ก็พอจะอ้างอิงตามหนังสือตำนานเมืองปัตตานีได้บ้าง ซึ่งหนังสือตำนานเมืองปัตตานีรวบรวมโดย พระศรีบุรีรัฐพิพิธ (สิทธิ์ ณ สงขลา) ดังบทความตอนหนึ่งว่า
     สมัยพระยาแก้มดำ เจ้าเมืองไทรบุรี ปรารถนาต้องการจะหาที่ เพื่อที่จะสร้างเมืองให้ “เจ๊ะสิตี”น้องสาวครอบครอง เมื่อโหรหาฤกษ์ยามดีได้เวลา ท่านเจ้าเมืองก็เสี่ยงสัตย์อธิฐานปล่อยช้างตัวสำคัญคู่บ้านคู่เมืองออกเดิน ป่าหรือเรียกว่า “ช้างอุปการ” เพื่อหาที่ชัยภูมิดีสร้างเมือง ท่านเจ้าเมืองก็ยกพลบริวารเดินตามหลังช้างนั้นไปเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งช้างได้เดินไปหยุดอยู่ ณ ที่ป่าแห่งหนึ่ง(ที่วัดช้างให้เวลานี้) แล้วเดินวนเวียนร้องขึ้น 3 ครั้งพระยาแก้มดำถือเป็นนิมิตที่ดีจะสร้างเมือง ณ ที่ตรงนี้ แต่น้องสาวตรวจดูแล้วไม่ชอบ พี่ชายก็อธิษฐานให้ช้างดำเนินหาที่ใหม่ต่อไป ได้เดินรอนแรมหลายวัน เวลาตกเย็นวันหนึ่งก็หยุดพักพลบริวารน้อง สาวถือโอกาสออกจากที่พักเดินเล่น บังเอิญขณะนั้นมีกระจงสีขาวผ่องตัวหนึ่ง วิ่งผ่านหน้านางไปนางอยากจะได้กระจงขาวตัวนั้น จึงชวนพวกพี่เลี้ยงวิ่งไล่ล้อมจับ กระจงตัวนั้นได้วิ่งวกไปเวียนมาบนหาดทรายอันขาวสะอาดริมทะเล ( คือตำบล กือเซะเวลานี้ ) ทันใดนั้น กระจงก็ได้อันตรธานหายไป นางเจ๊ะสิตี รู้สึกชอบที่ตรงนี้มากจึงขอให้พี่ชายสร้างเมืองให้ เมื่อพระยาแก้มดำปลูกสร้างเมืองให้น้องสาว และมอบพลบริวารให้ไว้พอสมควรเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ชื่อเมืองนี้ว่า “เมืองปะตานี” ( ปัตตานี ) ขณะนั้นพระยาแก้มดำเดินทางกลับมาถึงภูมิประเทศที่ช้างบอกให้ครั้งแรก ก็รู้สึกเสียดายสถานที่ จึงตกลงใจหยุดพักแรมทำการแผ้วถางป่า และปลูกสร้างขึ้นเป็นวัดให้ชื่อว่า “วัดช้างให้” มาจนบัดนี้ ต่อมาพระยาแก้มดำ ก็ได้มอบถวายวัดช้างให้ แก่ “ท่านลังกา”ครอบครอง พระภิกษุชราองค์นี้ท่านอยู่เมืองไทรบุรีเขาเรียกว่าท่านลังกาเมื่อท่านมา อยู่วัดช้างให้ชาวบ้านเรียกว่าท่านช้างให้เป็นเช่นนี้ตลอดมา

     สมัยโบราณนั้น คนมลายูนับถือศาสนาพุทธ พระยาแก้มดำคนมลายูจึงได้สร้างวัดช้างให้ขึ้น อ้างตามหนังสือของพระยารัตนภักดี เรื่องปัญหาดินแดนไทยกับมลายู หน้า 8 บรรทัด 16 ในหนังสืออิงตามประวัติศาสตร์ว่า พ.ศ.1300 กษัตริย์ครองกรุงศรีวิชัยแห่งปาเล็มบัง มีอานุภาพแผ่ไพศาลอาณาเขตเข้ามาถึงแหลมมลายู และได้ก่อสร้างสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาไว้หลายแห่ง มีผู้พบศิลาจารึกแผ่นหนึ่งที่ นครศรีธรรมราช บันทึกว่า เมื่อพ.ศ.1318 เจ้าเมืองศรีวิชัย ได้มาก่อสร้างพระเจดีย์ที่นครศรีธรรมราชและที่สำคัญอีกแห่งคือ พระพุทธไสยาสน์ในถ้ำที่ภูเขา (วัดหน้าถ้ำ) ตำบลหน้าถ้ำ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา คาดว่าสร้างเมื่อสมัยกรุงศรีวิชัย ระหว่างพ.ศ.1318-1400 ต่อมามีการปฎิสังขรณ์เพิ่มเติมตามที่เห็นในปัจจุบัน

ขณะที่ท่านลังกา"หลวงพ่อทวด"พำนักอยู่ที่วัดในเมืองไทรบุรีวันหนึ่งอุบาสก อุบาสิกา และลูกศิษย์อยู่พร้อมหน้าท่านได้พูดขึ้นในกลางชุมนุมนั้นว่า ถ้าท่านมรณภาพเมื่อใดขอให้ช่วยกันจัดการหามศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ด้วย และขณะหามศพพักแรมนั้น ณ ที่ใดน้ำเน่าไหลลงสู่พื้นดินที่ตรงนั้นจงเอาเสาไม้แก่นปักหมายไว้ต่อไปข้าง หน้าจะเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่มาไม่นานท่านก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชราคณะศิษย์ผู้เคารพในตัวท่านก็ได้ จัดการตามที่ท่านสั่งโดยพร้อมเพรียงกันเมื่อทำการฌาปณกิจศพท่านเรียบร้อย เมื่อ พ.ศ.2501 พระครูวิสัยโสภณ ได้เดินทางไปบูชามาแล้วทุกสถานที่ แต่ละสถานที่ก็มีสภาพเหมือนสถูปที่บรรจุอัฐิหลวงพ่อทวดที่วัดช้างให้เมื่อครั้งยังไม่ได้ตบแต่งสร้างใหม่สอบถามชาวบ้านแถบๆนั้นดู ต่างก็เล่นถึงเรื่องราวที่สืบทอดต่อกันมาให้อาจารย์ทิมและคณะฟังว่าเป็นสถานที่ตั้งศพหลวงพ่อทวด เมื่อมาพักแรมมีน้ำเหลืองหยดตกลงพื้นก็เอาไม้ปักทำเครื่องหมายไว้ บางแห่งก็ก่อสร้างเป็นสถูปเจดีย์ก็มี แล้วคณะศิษย์ผู้ไปส่งได้ขอแบ่งเอาอัฐิของท่านแต่ส่วนน้อยนำกลับไปทำสถูปที่ วัด ณ เมืองไทรบุรีไว้เป็นที่เคารพบูชาตลอดจนบัดนี้สมเด็จเจ้าพะโคะกับท่านช้างให้ หรือ"หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด" นี้สมัยท่านยังมีชีวิตมีชื่อที่ใช้เรียกท่าน หลายชื่อเช่น พระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ ท่านลังกา และท่านช้างให้ แต่เมื่อท่านมรณภาพแล้วเรียกเขื่อนหรือสถูปศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอัฐิของท่าน ว่า “เขื่อนท่านช้างให้” เขื่อน หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด (คำว่าเขื่อนเป็นภาษพื้นเมืองทางใต้ หมายถึงสถูปที่บรรจุอัฐิของท่านผู้มีบุญนั่นเอง) เมื่อ พ.ศ. 2480 พระครูมนูญสมณการ วัดลานุภาพ ได้ชวนชาวบ้านช้างให้และใกล้เคียงไปทำการแผ้วถางวัดร้างแห่งนี้ โดยจัดบูรณะให้เป็นวัดมีพระสงฆ์เข้าจำพรรษาและในปีนั้นเอง ได้ให้พระภิกษุช่วงมาอยู่ก็ได้มีการจัดสร้างถาวรวัตถุ ขึ้น เช่นศาลาการเปรียญ และกฏิ2-3หลัง ครั้งต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2484 พระภิกษุช่วงก็ได้ลาสิกขาบท วัดช้างให้จึงขาดเจ้าอาวาสและผู้นำลง พระครูภัทรกรณ์โกวิท เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ จึงได้ให้พระภิกษุทิม (พระครูวิสัยโสภณ) ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้ตามที่ชาวบ้านขอมา
     พระภิกษุทิม ได้ย้ายไปอยู่วัดช้างให้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2484 ตรงกับวันอังคาร ขึ้น15ค่ำเดือน8 พระภิกษุทิม มาอยู่วัดช้างให้ตอนแรก ก็ไปๆมาๆอยู่กับวัดนาประดู่ กลางวันต้องไปสอนนักธรรมวัดนาประดู่

 สถูปบรรจุอัฐิหลวงพ่อทวด
สถูปศักดิ์สิทธิ์ที่บรรจุอัฐิของหลวงพ่อทวด ว่า “เขื่อนท่านช้างให้”

พระครูวิสัยโสภณ และพระครูธรรมกิจโกศล
พระอาจารย์ทิม และพระอาจารย์นอง

    สถูปบรรจุอัฐิ"หลวงพ่อทวด"นั้น พระครูวิสัยโสภณ และพระครูธรรมกิจโกศล (พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว) ได้ปรึกษาหารือกันตกลงให้รื้อขุดของเก่าขึ้นมาเพื่อสร้างใหม่ แต่เมื่อขุดลงไปก็ได้พบหม้อทองเหลืองและมีอัฐิหลวงพ่อทวดห่อผ้าอยู่ในหม้อทองเหลืองอีกชั้นหนึ่ง หม้อทองเหลืองได้ผุเปื่อย ไม่กล้าเอามือจับต้องเพราะเกรงสภาพจะผิดเปลี่ยนไปจากสภาพเดิม จึงได้จัดสร้างสถูปสวมครอบลงบนสถูปเดิม ซึ่งปรากฏตามที่เห็นมาในปัจจุบัน วัดช้างให้ มีชื่อเต็ม ๆ ว่า วัดราษฎร์บูรณะ อยู่ที่ ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ห่างจากปัตตานีประมาณ 26 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 1,032 กิโลเมตร ไดรับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ตามพระราชกิจจานุเบกษาเล่ม 74 ตอน 15 หน้า 451 - 252 เขตวิสุงคามสีมายาว 80 เมตร กว้าง 40 เมตร ทำพิธีผูกพัทธสีมาเมื่อ วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2501 ตรงกับวันขึ้น 13 ค่ำ มีที่ดินที่ตั้งวัดเป็นเนื้อที่จำนวน 12 ไร่ ตามหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส.ค. 1 เลขที่ 334/2498
ประวัติหลวงปู่ทวด ในหนังสือหลวงพ่อทวดของ สมพงษ์ หนูรักษ์ว่า กล่าวว่า
1. ท่านลังกา องค์ท่านดำ ไม่ทราบชื่อเดิม ภูมิลำเนาเดิมที่ใดเป็นเพียงขนานนาม
2. หลวงพ่อสี
3. หลวงพ่อทอง
4. หลวงพ่อจันทร์
5. หลวงพ่อทิม (อาจารย์ทิม ธมฺมธโร) หรือพระครูวิสัยโสภณ ๑ ตำนานที่เล่าขานสืบต่อมาจากคนเฒ่าคนแก่บอกว่าวัดช้างให้หมายความว่าที่ดิน วัดนี้ ช้างบอกให้ เป็นวัดโบราณแห่งหนึ่ง มีอายุประมาณ ๔๐๐ กว่าปี มีเจ้าอาวาสปกครองวัดดังนี้
1. สมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ไม่สามารถระบุปีพุทธศักราชได้
2. พระช่วง พ.ศ. 2480 ถึง พ.ศ. 2483
3. พระครูวิสัยโสภณ (ทิม ธมฺมธโร) พ.ศ. 2483 ถึง พ.ศ. 2512
4. พระครูใบฎีกาขาว ธมฺมรกฺขิโต พ.ศ. 2513 ถึง พ.ศ. 2521
5. พระไพศาลสิริวัฒน์ (สวัสดิ์ อรุโณ) พ.ศ. 2521 ถึง 2543
6. พระครูปริยัติกิจโสภณ (สายันต์ จนฺทสโร) พ.ศ. 2543 ถึงปัจจุบัน


พระครูวิสัยโสภณ หรือ พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้
พระครูวิสัยโสภณ หรือ พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้

ประวัติพระครูวิสัยโสภณ(อาจารย์ทิม)
พระครูวิสัยโสภณ นามเดิมชื่อ ทิม นามสกุล พรหมประดู่ เกิดวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2455 ปีชวด ณ บ้านนาประดู่ ตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เป็นบุตรของ นายอินทอง นางนุ่ม พรหมประดู่ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน6คน
     1.นายเพิ่ม พรหมประดู่
     2.พระครูวิสัยโสภณทิม (ทิม พรหมประดู่)
     3.ด.ช.แว้ง พรหมประดู่ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
     4.พระครูใบฎีกาขาว
     5.ด.ญ.แจ้ง พรหมประดู่ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
     6.นายเคี่ยม พรหมประดู่
การศึกษาเมื่อปฐมวัย เมื่ออายุได้ 9ปี บิดามารดาได้นำไปฝากให้อยู่กับพระครูภัทรกรณ์โกวิท(เมื่อยังเป็น พระภิกษุแดง ธมมโชโต) เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้านเพื่อให้เรียนหนังสือ และได้เข้าเรียนทีโรงเรียนวัดนาประดู่ เรียนได้เพียง ป.3 แล้วออกจากโรงเรียน แต่ก็ยังอยู่กับพระภิกษุแดง เรียนหนังสือสวดมนต์
     เมื่ออายุได้18ปี ได้อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดนาประดู่ ตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 7มิถุนายน 2476
พระครูพิบูลย์สมณวัตร เจ้าคณะใหญ่เมืองหนองจิก วัดมุจลินทวาปีวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอธิการพุฒ ติสสโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการแก้ว เป็นอนุสาวนาจารย์
เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนาประดู่ 2พรรษา แล้วยังไปอยุ่สำนักวัดมุจลินทวาปีวิหาร เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม ครั้นต่อมาได้กลับมาเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมวัดนาประดู่ ในระหว่างที่เป็นครูสอนนั้น ได้จัดการสร้างกุฏิขึ้น 1หลัง โดยร่วมกันสร้างกับพระภิกษุนอง ธมมภูโต(อาจารย์นอง วัดทรายขาว)
วิทยฐานะในทางพระ สอบนักธรรมชั้นเอกได้ในสนามหลวงวัดพลานุภาพ จังหวัดปัตตานี เมื่อ พ.ศ.2487 ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2484 ขึ้น 15ค่ำ เดือน8 ปีมะเส็ง จ.ศ.1303

     สรุปหน้าที่ตำแหน่งและสมณะศักดิ์
พ.ศ.2481-84 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมวัดนาประดู่
พ.ศ.2484 ย้ายไปเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้)
พ.ศ.2491 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้)
พ.ศ.2493 เป็นกรรมการสงฆ์อำเภอโคกโพธิ์ ตำแหน่งเผยแผ่อำเภอ
พ.ศ.2499 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตร เป็นพระครูวิสัยโสภณ
พ.ศ.2508 ได้รับเลื่อนสมณะศักดิ์ในนามเดิม เป็นพระครูชั้นโทพัดยศขาว ฝ่ายวิปัสสนา
พ.ศ.2509 ได้รับตำแหน่งเป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ.2510 ได้เริ่มอาพาธ
- วันที่ 5 พฤศจิกายน 2512 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช หนึ่งสัปดาห์ แล้วกลับไปพักที่วัดเอี่ยมวรนุช บางขุนพรหม 2-3 วันด้วยเหตุยังไม่ตกลงใจผ่าตัดหรือไม่ “ตกลงไม่ผ่า”
- วันที่ 7พฤศจิกายน 2512 ได้ทำหนังสือพินัยกรรม ที่วัดเอี่ยมวรนุช ให้ผู้ที่มีรายชื่อ5ท่าน เป็นผู้รับมอบพินัยกรรม จัดการทรัพย์สินของวัดและดำเนินการในเรื่องต่างๆ
- วันที่ 17 พฤศจิกายน 2512 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลกลาง จนกระทั่งถึงวันที่30 พฤศจิกายน 2512 เวลา 00.37 น. มรณภาพ
- วันที่ 24 พฤศจิกายน 2518 พระราชทานเพลิงศพ ท่านอาจารย์ทิม ที่วัดช้างให้ ปัตตานี

สถูปหลวงพ่อทวด

สถูปหลวงพ่อทวด วัดช้างให้

ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ อันมีสถูปศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบรรจุอัฐิ หลวงพ่อทวด สถูปนี้ตั้งใกล้กับทางรถไฟ  อดีตวัดแห่งนี้ ประวัติวัดช้างให้เคยเป็นวัดร้างแต่ละครั้งแต่ละหนเป็นเวลาห่างกันนานๆ ตั้งสิบกว่าปีหรือบางครั้งถึงร้อยปีก็มีในปี พ.ศ.2484 พระครูวิสัยโสภณ หรือในที่รู้จักกันในนาม ท่านอาจารย์ทิม ธมมธโร ได้เข้ามาครอบครองเป็นเจ้าอาวาสวัดช้างให้เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 5 ได้ทำการบูรณะวัดต่อเติมจนเรียบร้อย ทำให้วัดช้างให้สะอาดสะอ้านขึ้นมาก ทางด้านสถูปศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งบรรจุอัฐิของ หลวงปู่ทวด ประดิษฐานอยู่ที่หน้าวัด เป็นที่จูงใจประชาชนหลายชาติหลายภาษาได้มาเคารพบูชาเป็นจำนวนมากทุกวัน
      หลังจากท่านอาจารย์ทิม ฝันว่าได้พบกับ หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนอยู่ในเวลานี้ วันหนึ่งท่านอาจารย์ทิมนึกสนุก จึงเก็บเอาก้นเทียนที่ตกอยู่ริมเขื่อน(สถูป) มาคลึงเป็นลูกอมแล้วแจกจ่ายให้กับเด็กวัดไป แต่ปรากฏเป็นที่อัศจรรย์แก่ท่าน เมื่อเด็กได้ลูกอมก้นเทียนไปแล้ว ก็เอาลูกอมสีผึ้งนี้อมในปาก แล้วลองแทงฟันกันด้วยมีดพร้าและของมีคม แต่แทงฟันกันไม่เข้าเลย จนเรื่องทราบถึงอาจารย์ทิม ท่านก็ตกใจเพราะเกรงเป็นอันตรายกับเด็ก จึงเรียกเด็กมาอบรมสั่งสอนห้ามไม่ให้ทดลองกันต่อไป
      หลังจากนั้นท่านเริ่มสนใจในคำปวารณาของ"หลวงพ่อทวด"ว่า จะเอาอะไรให้ขอ ก็พอดีมีพวกชายหนุ่ม ผู้ชอบทางคงกระพันได้พากันมาของให้อาจารย์สักยันต์ลงกระหม่อมเพื่อไว้คุ้มครองตัว ท่านอาจารย์ทิมก็สักให้แล้วระลึกถึงหลวงพ่อทวด แล้วก็สักแต่แต่มือจะพาไปเพราะท่านไม่ได้ศึกษาในเรื่องนี้มา ปรากฏว่าศิษย์ท่านที่มาสักยันต์เกิดไปลองดีกับศิษย์อาจารย์อื่น แล้วไม่มีศิษย์อาจารย์อื่นสู้ได้เลย (ขณะนั้นก่อนหลังสงครามโลกครั้งที่2เล็กน้อย) หลังจากนั้นทางคณะสงฆ์ผู้ใหญ่สั่งห้ามพระภิกษุสักลงกระหม่อม ท่านอาจารย์ทิม จึงงดรับการสักตั้งแต่บัดนั้นมา

เนื่องจากทราบกิตติศัพท์ในอดีตสมัยที่"หลวงพ่อทวด"เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา ด้วยเรือสำเภา ระหว่างทางได้เกิดพายุพัดจนกระทั่งข้าวปลาอาหารและน้ำดื่มตกลงทะเลไป ลูกเรือกระหายน้ำมาก หลวงพ่อทวดจึงได้แสดงอภินิหารหย่อนเท้าลงไปในทะเล ปรากฏว่าน้ำทะเลในบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำจืดและดื่มกินได้ ตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงของท่านขจรขจายไปทั่วหล้า คนได้มาทำการสักการะจนท่านอาจารย์ทิมดำริจะสร้างอุโบสถไว้ เพื่อเป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนาและจะได้เป็นที่อยู่อาศัยของพระภิกษุสงฆ์ใน วัดได้มาทำสังฆกรรมต่อไปความจริงนั้นครั้งโบราณกาลมา วัดช้างให้เคยมีอุโบสถมาก่อนแล้วแต่ชำรุดสลายตัวไปหมด เพราะเวลาที่ปรากฏเป็นให้เห็นเพียงพัทธสีมาและเนินดินที่เป็นอุโบสถเก่าแก่ เท่านั้น ท่านอาจารย์ทิมจึงได้กำหนดวางศิลาฤกษ์ อันเป็นรากฐานของอุโบสถแห่งใหม่ในวันที่ 6 สิงหาคม 2495 แล้วขุดดินลงรากก่อกำแพงหน้าอุโบสถสืบต่อมาจนถึง พ.ศ.2496 งานก่อสร้างสำเร็จลงเพียงแค่กำแพงอุโบสถโดยรอบเท่านั้นงานก่อสร้างหยุดชะงัก ลงเพราะหมดทุนที่จะใช้จะจ่ายต่อไป

ประวัติการสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวด วัดช้างให้
   กำเนิดพระเครื่องหลวงปู่ทวด ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ.2497 "หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด"เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดช้างให้ได้ประทานนิมิตอัน เป็นมงคลยิ่งแก่ นายอนันต์ คณานุรักษ์ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ห่างจากวัดประมาณ 31 กิโลเมตร ให้สร้างพระเครื่องรางเป็นรูปภิกษุชรา ขึ้นแท่นองค์ของท่าน นายอนันต์นมัสการพร้อมทั้งปรึกษาท่านอาจารย์ทิม และเตรียมงานสร้างพระเครื่องในวันที่ 19 มีนาคม 2497 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 เวลาเที่ยงตรง ได้ฤกษ์พิธีปลุกเสกเบ้าและพิมพ์พระเครื่องหลวงพ่อทวดเรื่อยมาทุก ๆ วัน จนถึงวันที่ 15 เมษายน 2497 พิมพ์พระเครื่อง"หลวงพ่อทวด"รุ่นแรกได้ 64,000 องค์ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะพิมพ์ให้ได้ 84,000องค์ แต่เวลาจำกัดในการพิธีปลุกเสก ก็ต้องหยุดพิมพ์พระเครื่องเพื่อเอาเวลาเตรียมงานพิธีปลุกเสกพระเครื่องหลวงปู่ทวดตาม เวลาที่หลวงพ่อทวดกำหนดให้พระครูปฏิบัติ และแล้ววันอาทิตย์ ที่ 18 เมษายน 2497 ขึ้น 15 ค่ำเวลาเทียงตรงได้ฤกษ์พิธีปลุกเสกพระเครื่องหลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ณ เนินดินบริเวณอุโบสถเก่า โดยมีท่านอาจารย์ทิมเป็นอาจารย์ประธานในพิธีและนั่งปรกได้อาราธนาอัญเชิญพระ วิญญาณหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดพร้อมวิญญาณหลวงพ่อสี หลวงพ่อทอง และหลวงพ่อจัน ซึ่งหลวงพ่อทั้งสามองค์นี้สิ่งสถิตอยู่รวมกับหลวงพ่อทวดในสถูปหน้าวัดขอ ให้ท่านประสิทธิ์ประสาทความศักดิ์สิทธิ์ความขลังแด่พระเครื่องฯ นอกจากนั้นก็มี หลวงพ่อสงโฆสโก เจ้าอาวาสวัดพะโคะ พระอุปัชฌาย์ดำ วัดศิลาลอง พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์อาวุโส ณ วัดช้างให้ ร่ายพิธีปลุกเสกพระเครื่องสมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด เสร็จลงในเวลา 16.00 น. ของวันนั้นท่านอาจารย์ทิมพร้อมด้วยพระภิกษุอาวุโสและคณะกรรมการวัดนำทีมโดย นายอนันต์ คณานุรักษ์ ได้ร่วมกันทำการแจกจ่ายพระเครื่องหลวงพ่อทวดให้แก่ประชาชนผู้เลื่อมใสซึ่งมา คอยรอรับอยู่อย่างคับคั่งจนถึงเวลาเทียงคืนปรากฏว่าในวันนั้น คือ วันที่ 18 เมษายน 2497 กรรมการได้รับเงินจากผู้ใจบุญโมทนาสมทบทุนสร้างอุโบสถเป็นจำนวนเงิน 14,000 บาท หลังจากนั้นมาด้วยอำนาจบุญบารมีอภินิหาร"หลวงพ่อทวด"ได้ดลบรรดาลให้พี่น้อง หลายชาติหลายภาษาร่วมสามัคคีสละทรัพย์โมทนาสมทบทุนสร้างอุโบสถดำเนินไป เรื่อยๆ มิได้หยุดหยั่งจนถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2499 ได้จัดพิธียกช่อฟ้าและวันที่ 31 พฤษภาคม 2501 ได้ทำพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถหลังนี้จึงสำเร็จเสร็จสิ้นสมบูรณ์

หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
รูปหล่อหลวงพ่อทวด ที่วัดช้างให้

ประวัติหลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้
     หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ เหยียบน้ำทะเลจืด เกิดเมื่อ วันศุกร์ เดือน4 ปีมะโรง พ.ศ.2125 ณ บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา มีชื่อว่า “ ปู่ ” หรือ “ ปู ” บิดามีนามว่า (ตาหู) มารดามีนามว่า (นางจันทร์) มีฐานะยากจนปลูกบ้านอาศัยที่ดินเศรษฐีผู้หนึ่งไว้ชื่อ “ปาน” ตาหูและนางจันทร์เป็นข้าทาสของเศรษฐีปาน แห่งเมืองสทิงพระ ระยะที่หลวงพ่อทวดเกิด เป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ข้าวในนา ในระหว่างที่พ่อแม่กำลังเกี่ยวข้าวอยู่ ได้ผูกเปลให้ลูกน้อยนอน ทำงานไปก็คอยเหลียวดูลูกน้อยเป็นระยะ แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น คือนางจันทร์ได้เห็นงูตัวใหญ่มาพันที่เปลลูกน้อยแล้วชูคอแผ่แม่เบี้ย นายหู-นางจันทร์ได้พนมมือบอกเจ้าที่เจ้าทาง อย่าให้ลูกน้อยได้รับอันตรายใดๆเลย ด้วยอำนาจบารมีของเด็กน้อยเจ้าปู่ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปู่ยังคงนอนหลับปุ๋ยสบายดีอยู่เป็นปกติ แถมมีลูกแก้วกลมใส ขนาดย่อมกว่าลูกหมากเล็กน้อยส่องเป็นประกายอยู่ข้างตัวเด็ก ตาหู นางจันทร์ มีความเชื่อว่าเทวดาแปลงกายเป็นงูใหญ่นำดวงแก้ววิเศษมามอบให้กับลูกของตน เมื่อเศรษฐีปานทราบเรื่อง จึงไปพบตาหู-นางจันทร์แล้วเอ่ยปากขอดวงแก้วนั้นซึ่งตาหู-นางจันทร์ ไม่อาจปฏิเสธได้เศรษฐีปานจึงได้ลูกแก้วไปครอบครอง แต่ไม่นานนักเกิดเหตุวิบัติต่างๆกับครอบครัวของเศรษฐีบ่อยๆ พอหาสาเหตุไม่ได้เลยนึกได้ว่าอาจจะเกิดจากดวงแก้วนี้ จึงนำไปคืนให้ ตาหู-นางจันทร์เจ้าของเดิม  ส่วนตาหู-นางจันทร์เมื่อได้ดวงแก้วกลับคืนมาจึงเก็บรักษาไว้อย่างดี นับแต่นั้นมาฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัว ก็ดีขึ้นเป็นเรื่อยๆ
     พออายุได้ประมาณ 7ขวบ บิดามารดาพาไปฝากไว้กับ สมภารจวง วัดดีหลวง เพื่อให้เรียนหนังสือ เมื่ออายุได้ 14ปี สมภารจวง วัดดีหลวง จึงบวชเณรให้แล้วพาไปฝากไว้กับพระครูสัทธรรมรังสี วัดสีหยง เพื่อเรียนมูลกัจจายน์
     ท่านพระครูสัทธรรมรังสี องค์นี้ทางคณะสงฆ์ของแผ่นดินจากกรุงศรีอยุธยาได้ส่งท่านมาเผยแพร่ศาสนาและสั่งสอยธรรมทางภาคใต้ เมื่อ “สามเณรปู่” เรียนอยู่ได้จนอาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนแล้วจึงได้แนะนำให้สามเณรปู่ ไปเรียนต่อที่ สำนักพระครูกาเดิม วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อสามเณรปู่ อายุครบ 20ปี พระครูกาเดิม วัดเสมาเมือง ได้อุปสมบทตามเจตนารมณ์ของสามเณรปู่ และทำญัตติอุปสมบทตั้งฉายาว่า “ สามีราโม” โดยเอาเรือ 4ลำ มาเทียบขนานเข้าเป็นแพ ทำญัตติ ณ คลองเงียบแห่งหนึ่ง ต่อมาก็เรียกคลองนี้ว่า “คลองท่าแพ” มาจนทุกวันนี้ ซึ่งเป็นชื่อจากพิธีกรรมในครั้งอดีต
พระเครื่องหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ปี2505

ที่มาของคำว่า หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
    ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ พระภิกษุปู่ เรียนวิชาหลายอย่างในสำนักพระครูกาเดิม 3 พรรษาอาจารย์ก็ไม่มีอะไรจะสอนให้อีกจึงปรึกษากับพระครูกาเดิม ท่านก็บอกถ้าจะศึกษาอีกคงต้องเข้าเมืองหลวงคือกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นที่รวมของสรรพวิชาต่างๆ ก้เลยนำนำให้ไปขอโดยสารเรือสำเภาของนายอิน ที่จะนำสินค้าไปขายในเมืองหลวง เรือสำเภาของนายอินบรรทุกสินค้าหลายอย่างเคยไปมาค้าขายแบบนี้หลายครั้งแล้ว ครั้งนี้เรือสำเภาแล่นไปได้ 3 วัน 3คืน เป็นปกติอยู่ดีๆวันหนึ่ง ไม่ใช่ฤดูมรสุม แต่เกิดพายุพัดจัดลมแรงมากท้องทำเลปั่นป่วน จึงจำเป็นต้องลดใบเรือลงรอคลื่นลมสงบ เลยทำให้อาหารไม่พอ น้ำดื่มไม่มีจะกินกัน โดยเฉพาะน้ำจืดสำคัญที่สุด บรรดาลูกเรือไม่เคยพบเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนและอารมณ์เสียทุกคนลงความเห็นว่า เกิดจาอาเพศที่มีพระภิกษุโดยสารมาด้วย จึงตกลงใจให้ไปส่งพระภิกษุปู่(หลวงปู่ทวด)ขึ้นฝั่ง โดยลงเรือเล็กซึ่งมีพระภิกษุปู่และลูกน้องนายอิน 2 คนลงมาด้วยเพื่อพายไปส่งฝั่งขณะที่นั่งอยู่ในเรือนั้น พระภิกษุปู่จึงบริกรรมคาถาและอธิษฐานจิต แล้วยื่นเท้าออกไปข้างกาบเรือลำเล็ก แล้วแกว่งน้ำให้เป็นวง ขณะนั้นเอง ท่านจึงบอกให้ลูกเรือทั้ง 2คนเอามือกวักชิมน้ำดู ปรากฏว่าน้ำทะเลกลับกลายเป็นน้ำจืด ทุกคนต่างดีใจรีบตักน้ำใส่โอ่งใส่ไห ลูกเรือทุกคนหายโกรธพระภิกษุปู่ โดยเฉพาะนายอิน จึงนิมนต์ให้ท่านร่วมเดินทางต่อจนถึงกรุงศรีอยุธยา
     เมื่อถึงเมืองหลวงสมัยนั้นกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงของไทยเจริญรุ่งเรืองมากมีวัดวาอารามใหญ่ๆโตๆ นายอินได้นิมนต์ พระภิกษุปู่ให้เข้าจำวัดในเมืองหลวงแต่ท่านถือสันโดษ ท่านจึงไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแค เขตทุ่งลุมพลีทางทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา ตามประวัติเก่าแก่ กล่าวไว้ว่า หลวงพ่อทวด ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ในกรุงศรีอยุธยานานถึง 9ปี คือระหว่าง พ.ศ.2148 -2157 ตอนนั้นพระภิกษุปู่หรือ หลวงพ่อทวด มีอายุแค่ 32 ปี

เจ้าเมืองลังกาท้าพนันแปลพระไตรปิฎก
     เมื่อถึงเวลาที่ผู้คนจะได้รู้จักท่าน ในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา ต้องการจะได้กรุงศรีอยุธยาไว้ในอำนาจ แต่ไม่ต้องการที่จะรบราฆ่าฟันกันด้วยอาวุธ จึงคิดกลอุบาลด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้ช่างหลวง นำทองคำจากท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อ ทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ จำนวน 84,000 ตัว จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าในราชสำนัก จำนวน 7 ท่านคุมเรือสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์ เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงศรีอยุธยา แล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาส์นว่า...
     พระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและ เรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนด 7วันนับแต่วันที่ได้รับ พระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่ กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย

เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้ ขุนศรีธนนชัย สังฆการี เขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่ว พระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้จนกาล เวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้ อื้ออึงไปหมด

     ครั้นในคืนที่ 6 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระ แท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่น จากพระบรรทม
     รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการกราบถวาย บังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาล ไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที

ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ "พระภิกษุปู่" (หลวงพ่อทวด)  ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้ พระภิกษุปู่ ฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า "เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้" ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร หนังสือตำนานบางเล่นกล่าวว่า...ตอนนี้พระภิกษุปู่ แสดงอาการประหลาด คือเอนกายลงนอนท่าตะแคงสีหไสยาสน์ แล้วลุกขึ้นนั่งตัวตรง ต่อมาก็กระเถิบไปข้างหน้า 5 ครั้งจากนั้นก็นั่งยังที่เดิม ทำให้พราหมณ์ทั้ง 7 คนหัวเราะพระภิกษุปู่ และดูหมิ่นหาว่าท่าแสดงเหมือนเด็กไร้เดียงสา จากนั้นพราหมณ์ จึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่ พระภิกษุปู่ เมื่อท่านได้รับแล้วก็ค่ำบาตรเทอักษรทองคำออกมาแล้วเริ่มต้นเรียงอักษรตามลำดับ ตามพระคัมภีร์โดยไม่รอช้า สักพักเดียวก็เสร็จ แต่อักษรขาดหายไป 7 ตัวคือคำ สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ดว่าเอาอักษรมาไม่ครบ หรือว่าแอบซุกแอบใว้ที่จุกมวยผมแต่ละคนก็จงนำมาให้เถิด พราหมณ์ผู้เฒ่าทั้ง 7 คนต่างตกใจหน้าซีดคิดไม่ถึงว่ากรุงศรีอยุธยาจะมีพระภิกษุเก่งกล้าเช่นนี้ จนพราหมณ์ผู้เฒ่า ทั้ง 7 สยบยอมแพ้อย่างราบคาบ
     พระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงพระสรวลยินดีเป็นอย่างยิ่ง จะถวายทรัพย์สมบัติแก่ท่านแต่ท่านไม่ยอมรับเนื่องจากท่านเป็นสมณะ พระองค์จึงจนพระทัย จึงประกาศ พระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระราชมุนีสวามีรามคุณูปมาจารย์” ตั้งแต่บัดนั้น

หลังจากนั้นกรุงศรีอยุธยา เกิดโรคห่าระบาดขึ้นอย่างร้ายแรงไปทั่วเมือง ผู้คนล้มตายราวใบไม้ร่วงเพราะไม่มียารักษา ประชาชนเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง สมเด็จพระเอกาทศรถทรงรำลึกถึง ราชมุนีสวามีรามคุณูปมาจารย์ หรือพระภิกษุปู่ ที่จำพรรษาอยู่ที่วัดแค จึงมีรับสั่งให้สังฆการีไปนิมนต์ท่านเข้าวัง พระภิกษุปู่ได้นำเอาลูกแก้วคู่บุญบารมีของท่านแช่น้ำแล้วปลุกเสกน้ำพุทธมนต์ นำไปประพรมทั่วกรุงศรีอยุธยาใครเจ็บป่วยก็มาขอน้ำไปดื่มกิน ปรากฏว่าโรคห่าที่กำลังระบาดไปซบเซาลงและก็เหือดหายไปในเวลาต่อมา บ้านเมืองกลับสู่ปกติสุข ทำให้พระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงมีรับสั่งว่า ถ้าท่านประสงค์สิ่งใดก็ให้ขอแจ้งให้พระองค์ทราบจะจัดถวายอุปถัมภ์ทุกอย่าง

กาลเวลาล่วงเลยต่อมา พระภิกษุปู่ (หลวงพ่อทวด)คิดถึงบ้านเกิด เลยถวายพระพรทูลลา ต่อสมเด็จพระเอกาทศรถ พระองค์ทรงอาลัยมาก แต่มิอาจทรงขัดได้ จึงตรัสให้ตระเตรียมเรือสำเภาพร้อมข้าทาสบริวารและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าพระภิกษุปู่ทรงปฏิเสธท่านต้องการ เมื่อท่านเดินทางถึงบ้านเกิดที่สทิ้งพระ ก็จำพรรษาอยู่ที่วัดพัทธสิงห์บรรพตพะโคะ ห่างจากตำบลชุมพลบ้านเกิดท่านไม่มากนัก เมื่อชาวบ้านทราบข่าวก็ต่างชื่นชมยินดีเลยพร้อมใจกันตั้งฉายานามให้ท่านใหม่ว่า สมเด็จเจ้าพะโคะ เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อวัด เมื่อท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดพะโคะก็เห็นว่าวัดเสื่อมโทรมมากจึงคิดที่จะบูรณะซ่อมแซม แต่เนื่องด้วยชาวบ้านแถวนั้นส่วนใหญ่ฐานะยากจน เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบยินดีและทรงให้ช่างและเงินตราจำนวนมากเพื่อให้พอที่จะบูรณะวัดและจัดเรือสำเภา 7 ลำบรรทุกบรรทุกสิ่งของและอุปกรณ์ก่อสร้าง ตามตำนานกล่าวว่าใช้เวลาหลายปีกว่าจะบูรณะเสร็จ
     วันหนึ่งขณะที่สมเด็จเจ้าพะโคะกำลังเดินริมชายฝั่งทะเลหลวง โดยถือไม้ท้าศักดิ์สิทธิ์ประจำตัว มีลักษณะแปลกคือ คดไปคดมา และมีรูปร่างคล้ายงู โจรสลัดจีนซึ่งแล่นเรือเลียบชาบฝั่งมาทางนั้นได้เห็นท่านเข้า คิดว่าท่านเป็นคนเผ่าประหลาดเพราะโกนศรีษะและนุ่งห่มไม่เหมือนชาวบ้าน โจรสลัดจีนจึงจับตัวท่านขึ้นเรือ เมื่อเรืออกจากฝั่งไม่นานก็ต้องหยุดนิ่งกลางทะเลเฉยๆเหมือนมีอะไรมาตรึงใว้แก้ไขอย่างไรก็ไม่ได้ผล เรือจอดนิ่งอยู่เป็นเวลาหลายวันเสบียงน้ำดื่มก็หมดไม่มีจะกิน สมเด็จเจ้าพะโคะท่านเห็นดังนั้นจึงนึกสงสารท่านจึงเหยียบกราบเรือใหญ่ให้ตะแคงต่ำเรี่ยน้ำลงไปข้างหนึ่ง แล้วยื่นฝ่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล สักครู่หนึ่งน้ำทะเลที่เคยใสแจ๋ว กลับขุ่นเหมือนน้ำคลองขึ้นมาทันที ท่านยกเท้าขึ้นแล้วบอกให้พวกโจรลองกินน้ำดู ปรากฏว่าน้ำทะเลบริเวณนั้นจืดสนิท พวกโจรสลัดจีนเห็นดังนั้นจึงรีบก้มกราบเท้าขอขมาโทษฟังไม่ได้ศัพท์กันเลยทีเดียว  แล้วนำท่านล่องเรือเล็กกลับขึ้นมาส่งที่ฝั่งในทันที
     ส่วนสาเหตุที่สมเด็จเจ้าพะโคะหายไป(หลวงพ่อทวด)โดยมิได้บอกกล่าวใคร ไม่มีใครรับรู้มาก่อนว่าท่านไปไหนมีความจำเป็นอะไรที่ละทิ้งวัดไปไม่มีใครรู้ทั้งนั้นนอกจากตัวท่านเอง หนังสือบางเล่มที่เขียนกันมาตอนหลังๆ ตามบันทึกของท่านพระครูวิริยานุรักษ์ วัดตานีสโมสร ปัตตานี ซึ่งเขียนจากคำบอกเล่าของพระอุปัชฌาย์ดำ ดิษโร วัดศิลาลอย อำเภอสทิ้งพระ จังหวัดสงขลาว่า ก่อนที่สมเด็จท่านพะโคะจะหายตัวไปจากวัดพะโคะได้มีสามเณรรูปหนึ่งมาหาท่านที่กุฏิ ไม่ทราบเรื่องอะไรแล้วก็ล่องหนหายตัวไปทั้ง2องค์ คือมีสามเณรผู้เคร่งครัดในพระธรรมวินัยรูปหนึ่งอุทิศถวายชีวิตตนใว้ในพระพุทธศาสนาได้อธิฐานจิตว่าก่อนจากโลกนี้ไปขอได้เฝ้าเบื้องพระพักตร์ของพระศรีอาริย์โพธิสัตว์ ด้วยกุศลที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อนและด้วยกุศลจิตอันแรงกล้า
     กล่าวคือในคืนวันหนึ่งได้มีชายนุ่งขาวหม่ขาวมาหาพร้อมทั้งประเคนดอกไม้ดอกหนึ่ง แล้วบอกว่านี่ คือดอกไม้ทิพย์จากสรวงสวรรค์ไม่รู้จักร่วงโรย พระโพธิสัตว์ได้มาจุติชั่วคราวบนโลกมนุษย์นี้แล้ว สามเณรจงถือดอกไม้นี้ออกตามหาเอาเองเถิด ถ้าพระภิกษุรูปใดรู้จักดอกไม้ทิพย์ พระภิกษุรูปนั้นแหละคือพระโพธิสัตว์ซึ่งจะเป็นผู้โปรดเวไนยสัตว์ในโลกหน้า เมื่อชายแก่ให้ดอกไม้ทิพย์แก่สามเณรแล้วก็จากไป สามเณรได้ออกตามหามุ่งหน้าสู่วัดต่างๆ แต่ไม่มีพระภิกษุสงฆ์รูปใดสนใจไต่ถามเลย ด้วยความศรัทธาอย่างเปี่ยมล้นก็ตระเวนหาไปเรื่อย
     วันหนึ่งสามเณรได้เดินทางมาถึงวัดพะโคะ สามเณรได้พบท่านสมเด็จพะโคะที่กุฏิของท่าน เมื่อท่านหลวงพ่อทวดได้เหลือบไปเห็นดอกไม้ทิพย์ในมือสามเณร จึงถามว่า “นั่นดอกมณฑาทิพย์บนสรวงสวรรค์ ผู้ใดให้เจ้ามา !!”
สามเณรขนลุกซู่ไปทั้งตัวแน่ใจแล้วว่าตนได้พบ พระโพธิสัตว์แล้วสามเณรจึงนำดอกไม้ไปประเคนแก่ท่าน เมื่อสมเด็จพะโคะรับดอกไม้ทิพย์แล้ว ท่านนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกวักมือเรียกสามเณรเข้าไปในกุฏิชั้นใน ปิดประตูหน้าต่างลงกลอน และปาฏิหาริย์เมื่อหายตัวไปทั้ง สามเณรและสมเด็จเจ้าพะโคะตั้งแต่เพลานั้น โดยไม่เหลือร่องรอยไว้ให้เห็นอีกเลย...
 ประวัติหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ คนทางใต้เชื่อว่าสมเด็จเจ้าพะโคะ หรือ หลวงพ่อทวด เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งลงมาโปรดบนโลกมนุษย์ชั่วคราวแล้วท่านก็นำดอกไม้ทิพย์พร้อมสามเณรขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกัน
     สมเด็จท่านพะโคะก่อนที่ท่านจะจากวัดพะโคะไปโดยไม่มีร่องรอย ท่านได้ทิ้งสิ่งสำคัญไว้ที่วัดพะโคะ 2 อย่างคือ
- ลูกแก้ววิเศษ ที่พญางูใหญ่ได้คายใว้ให้ท่านตอนท่านเป็นทารก
- อีกสิ่งหนึ่งที่ท่านทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ที่วัดพะโคะคือ รอยเท้าของท่าน ที่ท่านเหยียบประทับใว้บนแท่นหินบนหน้าผา ที่วัดพะโคะนั่นเอง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มีผู้คนกราบไหว้เป็นประจำตราบเท่าทุกวัน