ประวัติหลวงพ่อมุม วัดนาสัก อำเภอสวี จังหวัดชุมพร
ตั้งอยู่ ม.1 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร วัดนาสัก เป็นวัดประจำตำบล และมีหลวงพ่อที่ชาวบ้านนับถือ 3 องค์ คือ หลวงพ่อสร หลวงพ่อศรีคง หลวงพ่อมุม ปัจจุบันเจ้าอาวาสวัดนาสัก คือ พระครูเมตตา ธรรมจารี
หลวงพ่อมุมมีนามเดิมว่า มุม จันทร์ประสูติ เกิดเมื่อ วันจันทร์ เดือน ๑๑ ปี จอ พ.ศ. ๒๔๔๑ ที่ตำบลปากมะยิง ใกล้กับวัดปากกิ้ว จ.นครศรีธรรมราช บิดาชื่อ นายเฟื่อง มารดาชื่อนางใหม่ ท่านเป็นลูกโทน ฐานะทางบ้านนับว่าเป็นผู้มีอันจะกินเพราะมีที่นาเป็นร้อยไร่ พอท่านมีอายุได้ ๑๑ ปี บิดาก็ถึงแก่กรรม ทำให้ท่านเกิดความสลดใจและเศร้าใจเป็นอย่างมาก ท่านอยู่กับมารดาจนมีอายุได้ ๑๘ ปี คืนหนึ่งท่านฝันเห็นบิดา ท่านก็มาคิดว่าท่านไม่เคยทดแทนบุญคุณบิดาเลย จึงคิดบวชทดแทนบุญคุณซึ่งมารดาก็ให้การสนับสนุน
ท่านจึงบวชเณรที่วัดท่าโพธิ์ จ. นครศรีธรรมราช โดยมี พระรัตนธัชมุนี ศรีธรรมราช (ม่วง) หรือเจ้าคุณวัดท่าโพธิ์ เป็นอุปัชฌาย์ เมื่อบวชเณรแล้วท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดปากกิ้ว
หลังจากบวชเณรได้ ๑ ปี มารดาของท่านก็เสียชีวิตไปอีก ทำให้ท่านเล็งเห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ การบวชทำให้ท่านมีความสุขยิ่งกว่าทางโลกและเป็นการทดแทนบุญคุณบิดา-มารดา ด้วยท่านจึงตัดสินใจบวชไม่สึก ส่วนทรัพย์สมบัติที่ดินท่านก็ไม่ไยดี เป็นของนอกกาย ให้ญาติๆแบ่งกันไปหมด
พอท่านมีอายุครบ ๒๐ ปี ท่านก็ออกบวชเป็นพระภิกษุโดยมีอุปัชฌาย์รูปเดิมเป็นผู้บวชให้รับนามฉายา ว่า โฆสโก ซึ่งแปลว่า “ผู้มีเสียงก้อง” หมายถึงมีธรรมอันกว้างใหญ่ไพศาลถ้วนทั่วนั่นเอง ท่านจำพรรษาอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๘
*** ท่านได้ออกไปศึกษาหาความรู้ทางปริยัติธรรมเพิ่มเติมที่วัดบวรนิเวศวิหารโดยมาเรือมากับพระภิกษุอีกสองรูปคือ
1 หลวงพ่อโอภาสี
2 พระอาจารย์วิจิตรกรณีย์ (หลวงปู่ยิ่ง) ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อมุม รูปหนึ่งด้วย
พ.ศ. ๒๔๗๘ เมื่อศึกษาจบในลำดับหนึ่ง ท่านได้ธุดงค์มากับหลวงปู่ยิ่ง และจำพรรษาที่วัดโพธิ์เกษตร อ.สวี จ.ชุมพร ส่วนหลวงพ่อโอภาสี ท่านได้แยกไปจำพรรษาที่อาศรมบางมด ธนบุรี
พ.ศ. ๒๔๘๑ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านนา อ.เมือง จ.ชุมพร และเป็นเจ้าอาวาสจนถึง พ.ศ. ๒๔๙๐
พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านออกธุดงค์จำพรรษาอยู่ที่วัดกาญจนาราม อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี และธุดงค์ต่อไปถึงนครศรีธรรมราช แล้วย้อนกลับมาชุมพร
พ.ศ. ๒๔๙๓ จำพรรษาที่วัดนาสัก ขณะนั้นเป็นวัดนาสักเป็นวัดร้างไม่มีพระสงฆ์ หลวงพ่อเลื่อน วัดสามแก้วได้ให้นายภู่ เกตุสถิตย์ กรรมการวัดนิมนต์หลวงพ่อมุม มาเป็นเจ้าอาวาสแทนหลวงพ่อสอนที่มรณภาพ อยู่ที่วัดนาสัก อ.สวี จ.ชุมพร จนกระทั้งมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๒
ก่อนที่ท่านจะมรณภาพช่วงระยะเวลาหนึ่ง ได้มีการสร้างรูปเหมือนบูชาขนาดองค์จริงของหลวงพ่อมุมที่สำนักสงฆ์คนฑี ตั้งอยู่หมู่ 3 ต.บ้านนา อ.เมือง ชุมพร โดยมี พระอาจารย์ธรรม เป็นผู้จัดสร้างได้นิมนต์หลวงพ่อมุม ไปเจิมองค์รูปเหมือน หลวงพ่อมุมท่านได้กล่าวว่า ทำรูปเราไม่ได้ขอเราเลย อีกไม่นานหรอกเราก็คงต้องไป และท่านได้แจ้งให้พระลูกศิษย์คือหลวงพ่อบุญรอด ภาวโร วัดแก้วประชาราม (ทุ่งรี) ต.ท่าช้าง อ.เมือง จ.จันทบุรี ให้ทราบว่าท่านจะกลับแล้ว หลวงพ่อบุญรอด จึงได้สั่งหล่อรูปเหมือนขนาดองค์จริงมาไว้ที่วัดนาสัก เป็นองค์ประดิษฐานอยู่ที่วัดจนถึงปัจจุบันให้กับหลวงพ่อมุม
ขณะที่หลวงพ่อมุมอยู่โรงพยาบาลชุมพร โยมผู้อุปถากท่านคือตาอิง (กรรมการวัด) ท่านได้บอกให้ตาอิง เอาน้ำมารดตัวท่าน (ท่านกำลังสละทิ้งธาตุ) ท่านบอกตาอิงว่าจะไปแล้ว เวลาที่ไปคือเวลาที่หยุด ต่อมาไม่นานท่านก็ละสังขาร ตาอิงจึงดูที่นาฬิกาเห็น มันหยุดเดิน จึงถามแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งเวลาหรือ แพทย์ให้พยาบาลไปดูเวลาในห้องแพทย์ นาฬิกาที่มีอยู่ทุกเรือนก็หยุดหมด แม้แต่เมื่อนำร่างหลวงพ่อมุมมาถึงที่วัด นาฬิกาของวัดนาสักก็หยุดและรวมถึงเมื่อตาอิงแจ้งข่าวให้ทางวัดโพธิเกษตรทราบข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อมุมนาฬิกาของวัดก็หยุดด้วยเช่นกัน
หลวงพ่อมุม มรณภาพ เมื่อวันอังคารที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.
นับพรรษาได้ ๗๑ พรรษา สิริอายุ ๙๑ พรรษา ปัจจุบันทางวัดได้เก็บร่างของท่านไว้ในโลงแก้ว เพื่อให้ผู้ที่ศิษยานุศิษย์ได้มากราบไหว้ ซึ่งได้กำหนดให้ทุกวันที่ ๑๕ เมษายน ของทุกปีเป็นวันทำบุญอุทิศให้หลวงพ่อมุม
คาถาอาราธนาวัตถุมงคลของหลวงพ่อมุม โฆสโก
อิติปิโส ภควา พุทธัง ธรรมมัง สังฆัง อาราธนานัง อธิฐามิ
หลวงพ่อไม่ได้พูดสอนอะไรมากหรอก แค่ทำให้เราดู เป็นอยู่อย่างสมณะผู้เรียบง่าย ไม่ยึดถือยศศักดิ์ใดๆ รู้จักทดแทนคุณบิดามารดา มีน้อยใช่น้อย มีมากแบ่งปัน เสียสละรู้จักการให้ จากไปทิ้งธรรมสังขาร ให้ลูกหลานได้สังวร
พระเครื่องไทย
วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ประวัติ หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย prathaiamata
ประวัติ หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย prathaiamata
หลวงปู่สงฆ์ เป็นนามที่ ชาวกรุงเทพมหานคร เรียกชื่อท่าน ด้วยความ เคารพ เลื่อมใส ท่านเป็นพระคณาจารย์ สมถวิปัสสนา ที่ชาวจังหวัดชุมพร และชาวกรุงเทพๆ ภูมิใจเป็นหนักหนา หลวงปู่ท่าน มีความเมตตาปรานีแก่ทุกๆคน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ถ้าแม้บุคคล ใดไปขอพรจากท่านแล้ว จะได้รับความสมหวังอย่างมั่นคง ด้วยทุกคนเชื่อว่า ท่านหลวงปู่สงฆ์ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก หลวงปู่สงฆ์ ท่านเป็นคนชาว จังหวัดชุมพร โดยกำเนิด ท่านเกิด ที่หมู่บ้านวิสัยเหนือ อ.สวี จ.ชุมพร เมื่อวันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีขาล พ.ศ.๒๔๓๓ บิดา ชื่อ นางแดง มารดาชื่อ นางนุ้ย มีอาชีพทำนา-ไร่สวน อายุได้ ๑๘ ปี ท่านได้บรรพชาเป็น สามเณร ที่วัดสวี อันเป็นวัดใกล้ๆบ้านเกิดท่าน
เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ ๒ ปี จึงได้ลาสึก ออกไปช่วยบิดา มารดา ประกอบอาชีพทำงานท้องนาและไร่สวน ครั้นอายุครบอุปสมบท ท่านได้มาฝากตัวแก่พระอุปัชฌาย์ ที่วัดสวี ขอบวชเป็น พระภิกษุสงฆ์ ได้รับความเมตตาจาก พระอาจารย์ชื่น เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า "จันทสโรภิกขุ" หลังจากบวชเป็นพระแล้ว ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดควน อ.สวี จ.ชุมพร ๑ พรรษา ในระหว่างพรรษา ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม จนพอรู้แนวทางการ ดำเนินชีวิตในเพศพรหมจรรย์ ออกพรรษาแล้ว ท่านมีความสนใจทางสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน แต่ในจังหวัดชุมพร ไม่มีพระอาจารย์สอนทางด้านนี้เลย ท่านจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์ -อาจารย์ ออกจากจังหวัดชุมพร มุ่งหาพระอาจารย์สอนกรรมฐานในถิ่นอื่นๆ โดยได้ออกเดินทางไปท่ามกลางป่าเขาอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะท่าน ยังไม่รู้จักคำว่า " เดินธุดงค์" ในสมัยนั้น แต่หลวงปู่สงฆ์ มีความแน่ใจว่า การเดินทางอยู่ในป่าดงพงไพรนี้ จะต้องพบกับ พระผู้ปฏิบัติบ้าง เพราะพระกรรมฐานชอบอยู่ป่าดง มากกว่า อยู่วัดวาอาราม หลวงปู่สงฆ์ รอดพ้นจากอันตรายรอบด้าน เช่น สัตว์ป่า ไข้ป่าอันดุร้ายไปได้ ก็เพราะแรงใจที่มุ่งปฏิบัติธรรม กับพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อพบก็จะมอบตัวเป็น ศิษย์ ขอฝึกอบรมด้วยเท่านั้น
หลวงปู่สงฆ์ประสบความสมหวัง เมื่อได้ทราบว่า .... พระอาจารย์รอด วัดโต๊ะแซ หรือตอแซ เป็นพระอาจารย์ที่ทรงฌานสมาบัติสูงองค์หนึ่ง ในจังหวัดภูเก็ต ท่านจึงได้ไป ฝากตัวเป็นศิษย์ ขอฝึกอบรม ปฏิบัติพระกรรมฐาน อยู่กับพระอาจารย์รอด ๒ พรรษา หลวงปู่สงฆ์ มีความพากเพียร อย่างคร่ำเคร่ง มีสมาธิแก่กล้า สามารถในทาง ปฏิบัติมากแล้ว ท่านพระอาจารย์รอด ได้ให้ออกเดินธุดงค์ไปอยู่ป่าช้า ตามถ้ำผาป่าดง ต่อไป เพื่อความรุ้แจ้งในจิตใจ และจะได้ปรารภธรรมตามสติปัญญา หลวงปู่สงฆ์เดินธุดงคกรรมฐานไปจนถึงชายแดนด้านมาลายู จากนั้นท่านก็ ได้เดินธุดงค์ ย้อนกลับมาจนถึงจังหวัดเพชรบุรี
หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านมีความชำนาญในเรื่องสมถกรรมฐานและวิปัสสนา กรรมฐานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยก่อนโน้น ทางภาคใต้ นับตั้งแต่จังหวัดชุมพรลง ไป ครูบาอาจารย์ต่างๆ มักจะสนใจปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้ว เดินจิตเล่นฤทธิ์ กันเสีย โดยส่วนมาก สำนักเรียนวิชาต่างๆ ภายใน(จิต) สำนักเขาอ้อ มีชื่อเสียงมากในเรื่องนี้ แต่ หลวงปู่สงฆ์ ก็ดี หลวงปู่หมุนก็ดี ตามที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านสามารถหัน เข้ามาดำเนินจิตสู่วิปัสสนากรรมฐานเสีย เพราะเป็นหนทางออกจากความยึดมั่น ในอำนาจจิต อำนาจฌานได้อย่างสิ้นเชิง เป็นความจริงดังนี้
ต่อมาหลวงปู่สงฆ์ ท่านเกิดสติปัญญา มองเห็นภัยในวัฎสงสาร ที่มันเคย แปรปรวน หมุนเวียน ไม่รู้จบ ท่านเกิดเบื่อหน่าย คิดดำเนินชีวิตในป่าดงพงไพร ทำจิต เร่งบำเพ็ญเพียร เพื่อความพ้นทุกข์ การเดินธุดงคกรรมฐานของครูบาอาจารย์นั้น มิใช่ว่าจะเดินไปในที่แห่งหนึ่ง แล้วไปในที่แห่งหนึ่ง พึงรีบเดินเพื่อให้ถึงเร็วๆนั้น หาไม่ แต่การเดินธุดงค์ก็เหมือนการเดินแบบปกติ หรือเดินจงกรมนั่นเอง ท่านเดินอย่างมีสติ .... คือ ขณะที่ก้าวเดินไปนั้น ท่านกำหนดคำบริกรรม หรือพิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ โดยไม่นับก้าวแต่อย่างใด ท่านเดินด้วยสติ แม้อะไรจะเกิดขึ้นมาในช่วงนั้น ท่านก็รู้ชัด ไม่มีอาการของ จิตแส่ส่ายไปมา เพราะสติเป็นกำลังอันสำคัญขณะทำความเพียร เช่นอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านได้อาศัยชีวิตอยู่ในป่าดงเป็นเวลาหลายปี อาศัยโคน ไม้ ถ้ำผาต่างๆ เป็นที่พักผ่อน ไม่มีความอาลัยในชีวิตว่าจะสุข หรือทุกข์ ท่านมุ่งปฏิบัติธรรม เพื่อความรู้ธรรม
เมื่อรู้ธรรมแล้ว ท่านก็นำธรรมะนั้น มาสอนจิตสอนใจตนเอง ขัดเกลา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นสมบัติประจำสันดานมนุษย์ ให้หลุดให้ลอกออกไปจากจิตใจ ชำระจิตใจด้วยธรรม เพื่อความสะอาดหมดจดแห่งชีวิต ๗ ปี แห่งการทรมานกิเลส ภายในจิตใจของท่าน ซึ่งไม่เคยออกจากป่าสู่เมือง เลย ทำให้สภาพจิตสดใสแจ่มแจ้งในธรรมะ แต่สภาพสังขาร ดูออกจะเป็นฤาษีชีไพร หนวดเครารุงรัง ผมเผ้ายาว จีวร สบง ขาดรุ่งริ่ง นั่งภาวนาในป่าเมืองชุมพร คล้ายกับวาสนาท่านจะต้องมาอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จึงมีชาวบ้านป่า เดินตามนกตัวหนึ่ง ที่ร้องเป็นภาษามนุษย์ว่า " หนักก็วางเสีย ! หนักก็วางเสีย " ชาวบ้านป่า เดินตามนก จนพบหลวงปู่สงฆ์ และได้นิมนต์มาอยู่วัดร้างแห่งนั้น หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีความอดทน ค้นคว้า สัจธรรม ความเป็นจริง ของพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิตเป็นเดิมพัน ๑๐ พรรษา ท่ามกลางป่าดง ท่านอาศัยภูเขาลำเนาไพรมาโดยตลอด การบิณฑบาต ท่านโคจรไปในหมู่บ้านชาวป่า ได้บ้างอดบ้าง ตามอัตภาพ จนมีความพอดีแก่จิตใจ ปล่อยวางของหนักได้หมดสิ้นแล้วอย่างมั่นใจ
ท่านจึงออกจากป่า สู่วัดร้างแห่งหนึ่ง ท่านได้จำพรรษาก่อสร้างวัดร้างแห่งนั้น จนเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบัน โดยขนานนามว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อ.เมือง จ.ชุมพร หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ในจังหวัดชุมพร บัดนี้ท่านได้วางแล้วซึ่งขันธ์อันหนักหน่วงของท่าน และได้ทิ้งรากฝากความดีงามให้แก่ชนรุ่นหลังระลึกถึง ณ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย
สิ่งมงคลและยาวิเศษ
สิ่งอันเป็นมงคลที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร อนุเคราะห์ชาวบ้านที่ได้รับความทุกข์ร้อน โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เมื่อมาหาท่าน ท่านจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือจนหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยสิ้นเชิง และสิ่งของที่ท่านมอบให้นั้นก็ไม่กี่บาท ขอยกให้เห็นชัดดังนี้ ที่ข้าง ๆ บันไดกุฏิของท่านจะมีตุ่มใส่น้ำมนต์ตั้งไว้ใบหนึ่ง ท่านจะลงมาจากกุฏิทำน้ำมนต์ ในเวลากลางคืนแล้วนำมาใส่ตุ่มไว้ ตอนเช้ามืดอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะลงมาเทใส่ตุ่มที่หมดทุกวัน ๆ น้ำมนต์ในตุ่มนั้นจะมีผู้ที่รู้แหล่งเข้ามาขอตักไปบูชาหรือดื่มกิน น้ำมนต์ของหลวงปู่สงฆ์เป็นสิ่งมงคลที่มีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ สามารถอาราธนาให้เกิดผลในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ทุกประการตามแต่คำอธิษฐานจิตของผู้ใช้ โอ่งน้ำมนต์ของท่านเรียงรายอยู่ตามบันได ทางขึ้นลงกุฏิทั้งด้านซ้ายด้านขวา แท้จริงถ้ามองเผิน ๆ มันจะเป็นโอ่งน้ำล้างเท้า แต่ทว่าไม่ใช่ เพราะคนสมัยนี้สวมรองเท้า ไม่ได้มาเท้าเปล่าแล้วมาล้างเชิงบันได เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าหลวงปู่จะทำน้ำมนต์ มาเทลงในโอ่ง ท่านทำอย่างนี้ทุกวัน
น้ำมนต์ไล่ผีอย่างเห็นได้ชัด ครั้งหนึ่งมีคนแถวสามแก้วได้พาลูกสาวซึ่งมีอาการเหมือนถูกผีเข้าสิง ดิ้นทุรนทุรายร้องเอะอะเสียงดัง ญาติผู้ชายร่างกายแข็งแรงต้องช่วยกันพามาที่วัด มานั่งรออยู่เชิงบันได เพราะบนกุฏิหลวงปู่นั้น ผู้หญิงขึ้นไม่ได้ แล้วพ่อของเด็กก็ขึ้นไปเล่าอาการให้ฟัง เมื่อได้ฟังอาการแล้วหลวงปู่ก็เดินมาที่หน้ากุฏิมองลงมาที่เด็กสาวคนนั้น ชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น ขณะที่เด็กสาวสะบัดจะให้หลุด ปากก็ร้องเสียงดังเอะอะ หลวงปู่มองดูสักครู่ท่านก็ร้องบอก “นิ่งเสียบ้างซิ”
เด็กสาวที่ร้องครวญครางส่งเสียงดังก็หยุดชะงักลงทันทีเมื่อสิ้นเสียงหลวงปู่ที่พูดลงมา สักครู่ก็ร้องอีก นายสร้าง คนติดตามหลวงปู่มานานหลายปีได้ยื่นขันน้ำที่ตักจากในโอ่งบนกุฏิส่งให้ หลวงปู่หยิบขันน้ำมาก็เทโครมลงมาทันที ถูกร่างของเด็กสาวคนนั้นอ่อนแรงจนนอนราบเรียบสงบ หลวงปู่หันหลังกลับเข้ากุฏิ สักครู่เด็กสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นงัวเงีย อาการผิดปกติหายไปราวกับปลิดทิ้ง น่าสังเกตตรงที่ว่า น้ำที่นายสร้างตักใส่ขันความจริงเป็นน้ำดื่มกินธรรมดา เมื่อหลวงปู่รับขันมาท่านก็เทโครมทันที ไม่ได้เสกหรือเป่าใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นรูปแบบของคณาจารย์อื่น ๆ จะต้องมีการเสกการเป่าเสียก่อน แต่หลวงปู่ไม่ต้อง ได้มาเททันที
เรื่องของการใช้น้ำมนต์ไล่ผีเข้าเจ้าสิงของหลวงปู่นั้นโด่งดังอยู่ ดังนั้นน้ำมนต์ของหลวงปู่จึงมีคนต้องการมาก
ยาเส้น
ตามปกติหลวงปู่สงฆ์ท่านชอบใช้ยาเส้นสีปากแล้วอมเอาไว้ ดังนั้นยาเส้นที่ท่านใช้แล้วเหล่านั้น จะกลับกลายเป็นของวิเศษ เป็นของที่มีมงคลศักดิ์สิทธิ์ คือ กลายเป็นของขลังอย่างยอดเยี่ยม สมัยก่อนนั้น คนที่ไปวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจะหายาเส้น ไปสักจำนวนหนึ่ง บางคนก็เอาไปเป็นห่อ แล้วก็ให้หลวงพ่อเสกให้ต่อจากนั้นก็นำมาเป็นวัตถุมงคลติดตัว ต่อมาทางวัดมีความคิดดีนำเอายาเส้นอัดพลาสติกห้อยคอ ทำเหมือนกับลูกอม ปิดทองอีกด้วย เพราะยาเส้นโด่งดังและเป็นที่ต้องการของผู้ที่เข้าวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เรื่องมันมีอยู่ ค่อนข้างเกรียวกราวในชุมพร คือ ครั้งหนึ่ง ได้มีคนมาหาหลวงปู่ ท่านก็มอบยาเส้นไปให้ ยาเส้นนี้เดิมทีเป็นของใช้ประจำวันของหลวงปู่ ท่านเอามาสีฟัน คนที่เคารพนับถือเห็นว่าอะไรก็ตามที่ท่านใช้ย่อมจะเป็นมงคลทั้งสิ้น ก็เลยขอยาเส้นท่านไป เมื่อได้แล้วก็นำไปไว้ในเซฟ รวมกับเอกสารและของมีค่า เขาถือว่า ยาเส้นของหลวงปู่ เป็นของมีค่าด้วยชนิดหนึ่งต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี หลังจากนั้นไม่นานนักขโมยเกิดเข้าบ้านชายคนนี้ เมื่อมันเปิดเซฟออกมา มันก็เบือนหน้า เพราะในเซฟไม่มีสมบัติอะไรเลย ภายในเซฟมีแต่ยาเส้นกองเต็มไปหมดไม่มีของมีค่า
แต่แล้วคนพวกนี้ก็ไปไม่รอด โดนจับได้ ของกลางไม่มีอะไร เพราะมันไม่ได้อะไรไปเลย บอกกับตำรวจเพียงว่า“ในเซฟมีแต่ยาเส้น ใครจะเอาไปทำไม” ความจริงยาเส้นในเซฟนั้นมีเพียงก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น แปลกใจทำไมมันจึงมองเห็นว่ามีมากมายไปได้หรือจะเป็นเพราะ อภินิหารยาเส้นมงคลของหลวงปู่ ยาเส้นของหลวงปู่นั้นแท้จริงก็คือ ยาเส้นที่หลวงปู่ชอบอมเอาไว้ หรือเรียกกันแบบภาษากลางว่า ถุนยา คือเอายาเส้นใส่ปากอมเอาไว้ เมื่อมีคนอยากได้ บางคนขอเอาจากปากท่านเลยก็มี ท่านก็คายออกใส่มือที่แบรออยู่
น้ำปลา...ยาวิเศษ
เรื่องนี้ได้ทราบจากชาวบ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อหลายปีมาแล้วว่า เขาปวดท้องมานาน ๑๐ กว่าปี ไปรักษาที่ไหนตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เสียเงินไปเป็นแสนบาท นายแพทย์เก่งขนาดไหนก็รักษามาแล้ว ที่ไหนว่าเก่ง ๆ พอเจอโรคของบุคคลนี้เข้า ยอม กลัว รักษาไม่หาย ต่อมาได้ยินเขาเล่าลือว่าทางจังหวัดชุมพรมีพระที่วิเศษรูปหนึ่ง เคยรักษาโรคมาเป็นพันๆ คน และก็หายจนหมดสิ้นทุกคนคนป่วยจึงได้หอบสังขารชนิดผอมติดกระดูกมาหา หลวงปู่สงฆ์ นี่แหละ ทันทีที่เห็นหน้าหลวงปู่สงฆ์ คนป่วยก็มีความรู้สึกศรัทธาอย่างมากมาย ขนลุกขนพองอยู่ตลอดเวลา แม้ท่านจะกลับเข้ากุฏิไปแล้วก็ตาม ศิษย์ของท่านจึงนำน้ำปลาไปให้ท่านเพ่งกระแสจิตให้สัก ๑๐ นาที แล้วนำน้ำปลานั้นมาให้และบอกว่าให้กินน้ำปลานี้ ยาอื่นท่านบอกว่าไม่ต้องกินแล้ว ถึงกินก็ไม่หาย ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่สงฆ์ หญิงคนนั้นจึงเปิดขวดน้ำปลาดื่มเข้าไป แม้ว่าน้ำปลาจะมีรสเค็มจริงอยู่ แต่เวลาน้ำปลาผ่านลำคอไปแล้ว รู้สึกเย็น ๆ พอไปถึงท้องแล้วอาการปวดท้องเสียด ๆ นั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เกิดขึ้นอีกเลย เกิดความตื้นตันขึ้นมา ดื่มเข้าไปอีกต่อหน้าลูกศิษย์หลวงปู่สงฆ์ มีอาการยิ้มแย้มฉายให้เห็นท่าทีว่า อาการภายในสงบ ภายนอกก็แจ่มใส ผู้ป่วยนั้นก็ก้มลงกราบตรงเชิงบันไดกุฏิของหลวงปู่สงฆ์ แล้วได้ร่วมทำบุญกับวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยด้วยความศรัทธาแล้วจึงลากลับบ้านของตน
สำหรับชาวบ้านจะนำน้ำปลาเอามาให้หลวงปู่สงฆ์เสกเป่าเป็นมงคลขึ้น เสร็จพิธีแล้วน้ำปลาจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีความขลังในการรักษาโรคผิวหนัง แผลเน่าเปื่อยได้ชะงัดดีนัก โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติด น้ำปลาของหลวงปู่สงฆ์จะรักษาได้เป็นอย่างดี นับเป็นสิ่งมงคลในการรักษาโรคภัยอย่างไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อน
น้ำล้างบาตร
น้ำล้างบาตร นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านจะเอาน้ำใส่บาตรเพื่อล้าง ผู้ประสงค์ก็จะคอยรับน้ำล้างบาตรกัน เมื่อผู้ใดได้น้ำล้างก้นบาตรแล้ว ก็จะนำเอาไปอธิษฐานบารมีเป็นที่พึ่ง เพื่อนำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้วก็ได้รับความสำเร็จทั่วหน้า
เรื่องน้ำล้างบาตรของหลวงปู่สงฆ์ นี้ ก็มีเรื่องเล่ากันว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่ง มีกิจการโรงแรมในจังหวัดชุมพร ได้เดินทางมาที่ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย และได้ขอน้ำล้างก้นบาตรจากหลวงปู่สงฆ์ เพื่อจะเอาไปแก้โรคภัยไข้เจ็บชนิดเรื้อรังที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั้น เมื่อได้น้ำก้นบาตรใส่ขันใบใหญ่แล้ว เธอก็นั่งรถกลับจังหวัดชุมพร แต่ขณะนั่งรถมาระหว่างทางเธอได้พิจารณาดูน้ำล้างบาตรในขันที่ใส่มา เห็นเม็ดข้าวขาว ๆ และชิ้นเศษอาหาร ลอยปะปนอยู่ ดูสกปรกน่ารังเกียจ ก็เกิดเสื่อมความศรัทธาขึ้นมา และไม่เชื่อว่าน้ำล้างก้นบาตร นี้จะรักษาโรคได้จริง คิดได้ดังนั้นก็หยิบยกขึ้นมาเทลงข้างทางเสีย แล้วก็นั่งรถกลับมาถึงบ้าน คืนนั้นขณะกำลังนอนหลับอยู่ พอเริ่มเคลิ้ม ๆ หลับได้นิดเดียวก็รู้สึกคันระยิบระยับไปทั้งตัวเป็นที่น่าสงสัยนัก เธอผู้นั้นจึงลุกขึ้นไปเปิดไฟดูก็พบว่า หนอนตัวขาว ๆ จำนวนมากมาย ไต่ตามตัว และที่นอนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด สตรีผู้นั้นตกใจและขยะแขยงแทบเป็นลม จึงร้องเรียกคนรับใช้ให้มาช่วยกันกวาดเอาตัวหนอนขาว ๆ เหล่านั้นออกมาจากห้องไปทิ้งเสีย สตรีผู้นั้นก็มิได้สนใจคิดอะไร ล้มตัวลงนอนต่อไป พอเกือบจะเคลิ้มๆ ได้สักเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกว่าหนอนยังมีหลงเหลืออยู่อีกแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก จึงรีบเปิดไฟฟ้าขึ้นดู ทีนี้พบหนอนสีขาวๆ มากมายกว่าเก่า มีขนขึ้นเต็มตัว
สตรีผู้นั้นเกิดความกลัวสุดขีด จึงวิ่งหนีออกมานอกห้องนอน แล้วเรียกคนใช้ออกมาให้กวาดหนอนไปทิ้งอีก คนใช้ทุกคนรีบกวาดหนอนตัวขาวๆ นั้นมารวม ๆ กัน เพราะครั้งนี้ดูมันคลานกันเต็มห้องไปหมด แต่ยังมิได้เอาไปทิ้งก็เกิดเหตุที่ทำให้ตกตะลึงอยู่ กับที่ฝูงหนอนดังกล่าวกลับกลายเป็นเมล็ดข้าวสารขาว ๆ ไปทั้งหมด แม้จะเป็นเมล็ดข้าวสารก็จริง แต่ ใจยังหวาดผวาด้วยความอัศจรรย์นั้นอยู่ ครั้นแล้วสตรีผู้นั้น เมื่อหายจากอาการตกตะลึง ก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร รู้สึกสำนึกว่าตนเองได้ทำความผิดไว้อย่างมหันต์ที่คิดลบหลู่ดูหมิ่น น้ำล้างก้นบาตร ของ หลวงปู่สงฆ์เมื่อตอนกลางวันนี้ โดยนำน้ำก้นบาตรเททิ้งข้างทาง ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชา กล่าวคำอโหสิกรรมโทษที่ตนล่วงเกินด้วยความเกรงกลัว จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีหนอนมารบกวนอีกเลย สามารถนอนหลับได้อย่างสบายตลอดรุ่งเช้า
กวางน้อย
มีชาวบ้านคนหนึ่งได้นำลูกกวางมาถวายให้หลวงปู่ เป็นลูกกวางตัวผู้ ยึดถือหลักเอาไว้อย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ตัวเมียท่านจะไม่เลี้ยงเลย กวางน้อยตัวนี้กำลังซน หลวงปู่ก็เอาชายจีวรที่ท่านฉีกมาผูกคอไว้ มันก็เที่ยวของมันไปตามประสา เพราะไม่ได้ผูกมัดแต่อย่างใด บางครั้งไปกินพืชผักของใครเข้า เจ้าของโกรธไล่ตี มันก็วิ่งหนีกลับเข้าวัด เพราะความเกเรซุกซนของมันนี่แหละ โดนดีเข้าจนได้ มีคนเอาปืนลูกซองยิงมัน แต่ทว่าด้าน ยิงไม่ออกหลายครั้ง จนลือกันว่า กวางตัวนี้หนังมันดี ยิงไม่ออก วันหนึ่งมันออกไปกินยอดพลูของครูคนหนึ่งเข้าที่บ้านข้างวัด ครูคนนั้นก็เอาไม้ไล่ตี ปากก็ตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตกกลางคืน กวางตัวนี้ ชื่อไอ้น้อย ก็แอบเข้ามากินยอดพลูที่เหลือหมดที่ปลูกเอาไว้ ครูนั้นโกรธมาก มาเล่าเรื่องแบบฟ้องหลวงปู่ ท่านก็หัวเราะพูดลอย ๆ ว่า “ก็ครูอยากไปด่ามันทำไม ไอ้น้อยไม่ชอบให้ใครด่า” ครูเก็บเอาความแค้นไว้ในอกเงียบ ๆ หลังจากนั้นได้ไปติดต่อกับคนรับซื้อสัตว์ป่า เพื่อจะขโมยไอ้น้อยกวางหลวงปู่มาขาย สมคบกับอีกคนหนึ่งเตรียมขโมยไอ้น้อย แล้ววันนั้นไอ้น้อยก็รับกรรม ถูกจับตัวเอาขึ้นบนรถไปหมายจะนำไปขายในกรุงเทพ ฯ บนรถบรรทุกไอ้น้อยมานั้นมีสัตว์ป่าอีกหลายตัวรวมอยู่ด้วย รถได้แล่นออกมาจากชุมพรจวนจะถึงเขาหินช้าง เกิดยางแตก กำลังเปลี่ยนยางอยู่นั้น ไอ้น้อยกวางหลวงปู่ก็หลุดหนีออกมาได้ ไอ้น้อยได้ไปเที่ยวอยู่แถว ๆ พ่อตาหินช้าง บ้านยายไท แถวน้ำตกกะเปาะอำเภอท่าแซะ อยู่ระยะหนึ่ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ไอ้น้อย กำลังเที่ยวหาอาหารอยู่ในเวลาเช้า ไอ้น้อย หารู้ตัวไม่ว่า ความตายกำลังจะมาเยือนมันอยู่แล้ว ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินเล็มยอดไม้อยู่นั้น ก็ได้มีชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า นายหวิน กำลังจะยัดเยียดความตายให้กับไอ้น้อย ด้วยอาวุธปืน นายหวินได้สับไกปืน เพื่อทีหวังจะล้มไอ้น้อยให้ได้ แต่ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้ว กระสุนของนายหวินก็ไม่ระเบิด แต่ทำไมจึงทำอะไรไอ้น้อยไม่ได้ “มันกวางอะไร กวางของใคร ทำไม่จึงยิงไม่ออก แปลก” นายหวินรำพึงรำพันอยู่ในใจ ขณะที่นายหวินครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาไปเหลือบเป็นผ้าสีเหลือง คือผ้าพระผูกอยู่ที่คอของไอ้น้อย ด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเอง ประกอบกับดวงของได้น้อยมันถึงฆาต เหมือนกับคำที่กล่าวว่า“ถึงคราวตายแน่นอน ทางแก้ไม่มี ตายแน่เราหนีกันไปไม่พ้น จะเป็นราชาหรือมหาโจร ต้องทิ้งกายสกนธ์สู่เชิงตะกอน” นายหวินได้เข้าไปปลดผ้าสีเหลืองที่ผูกคอไอ้น้อยไว้ ซึ่งเป็นเศษผ้าจีวรของหลวงปู่ออกจากคอไอ้น้อย
อนิจจาความตายกำลังจะมาเยือน ไอ้น้อย เมื่อดวงมันถึงฆาต มันก็ทำอะไรไม่ถูก ธรรมดาแล้วมันไม่ค่อยจะให้ใครเข้าใกล้ตัวมัน ยกเว้น หลวงปู่ และกับคนที่มันรู้จักมักคุ้นเท่านั้น แต่เพราะสัตว์มันไว้ใจคน หารู้ไม่ว่า คน ๆ นั้นกำลังจะหยิบยื่นความตายให้ นายหวินปลดผ้าเหลืองออกจากคอไอ้น้อยแล้วก็รีบวิ่งกลับไปยังบริเวณที่ได้เอาปืนพิงไว้กับต้นไม้ใหญ่ เบนลำกล้องปืนกลับมาสู่ตัวไอ้น้อยอีกครั้ง พร้อมกับลั่นไก “ปัง” เสียงปืนดังแน่นคับราวป่า ผู้ชำนาญเสียงปืน ถ้าได้ยินเสียงก็บอกได้ว่า กระสุนเข้าเป้าอย่างแน่นอน ไอ้น้อยล้มทั้งยืน ในขณะที่ปากของมันยังคาบยอดไม้อ่อนอยู่ แต่ว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้เคี้ยวอีกต่อไป เลือดแดงฉานทะลักออกมาจากท้องราวกับสายน้ำ ตาของไอ้น้อยค้าง แต่หากมันมีความรู้สึกสักนิด ก็จะสงสัยว่า “ทำไมวันนี้จึงสั้นเสียเหลือเกิน เรากินอาหารมื้อเช้ายังไม่ทันอิ่ม ก็มืดเสียแล้ว” โอ้อนิจจาความตายไม่เคยเว้นใคร แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ฝ่ายนายหวิน มือเพชฌฆาต ดีอกดีใจที่ได้ล้มไอ้น้อยลงได้ใครล่ะจะแน่กว่าเรา ภรรยาของหวิน อยู่ที่บ้านตกใจ โดยไม่รู้สาเหตุ ตะโกนบอกเพื่อนบ้านใกล้เคียงว่า "หวินยิงกวางหลวงปู่ หวินยิงกวางหลวงปู่" ทั้ง ๆ ที่มิเห็นกับตา เพื่อนบ้าน เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พากันไปดู พบหวินกำลังชำแหละเนื้อกวางตัวนั้นอยู่ บางคนก็คิดอยากจะช่วย แต่ในขณะนั้นเอง กลิ่นอุจจาระก็ส่งกลิ่นตลบอบอวน โดยไม่ทราบสาเหตุที่ไปที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ หวินและเพื่อนบ้านช่วยกันตรวจสอบ ก็พบว่ากลิ่นนั้นมาจากซากกวางที่ถูกยิงนั้นเอง ในที่สุด ก็ไม่มีใครเอาเนื้อนั้นไปได้เลยแม้แต่น้อย เพราะเหมือนจะเหม็นจนไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง
ฝ่ายหวินเอง เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นก็เริ่มตกใจกลัวจนใจเตลิดเปิดเปิง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “กวางที่ตัวเองล้มกับมือ กลายเป็นอุจจาระไปได้อย่างไร” สติวิปลาสขึ้นในบัดดลนั้นเอง วิ่งเตลิดเปิดเปิงกลับบ้านไม่ถูก เพื่อนบ้านกับภรรยาของหวิน เมื่อทราบดังนั้นจึงได้ไปบอกกล่าวขอโทษหลวงปู่ ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยว่า “หวินมันยิงกวางเสียแล้วล่ะ หลวงปู่” หลวงปู่ก็กล่าวว่า “คนยิงมันบ้า” นายหวินก็บ้าไม่ได้สติตั้งแต่บัดนั้นจนทุกวันนี้ จะด้วยกรรมที่หวินทำลงไปหรืออะไร เราเองก็ไม่ทราบได้ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนายหวิน เพราะนายหวินไปยิงกวางของหลวงปู่ตาย
กิจวัตรของหลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
เวลา ๐๔.๐๐ น. ไหว้พระทำวัตรเช้า
เวลา ๐๖.๑๐ น. ท่านออกจากห้องเตรียมที่จะออกบิณฑบาต ในระหว่างนั้น สามเณรอุปัฏฐากจะขึ้นปฏิบัติและญาติโยมมากราบขอพร
เวลา ๐๗.๐๐ น. ออกบิณฑบาต เมื่อกลับมาแล้วท่านเข้าห้องไหว้พระอีก
เวลา ๐๙.๐๐ น. ลงหอฉัน เพื่อฉันภัตตาหาร เมื่อฉันภัตตาหารและให้พรเรียบร้อย ท่านจะพูดคุยกับญาติโยมที่มาทำบุญ หลังจากนั้นท่านกลับขึ้นกุฏิและต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่มาจากใกล้และไกลพอสมควร แล้วเข้าห้องพักผ่อน
เวลา ๑๒.๓๐ น. ออกจากห้อง เพื่อต้อนรับศรัทธาญาติโยมที่มาขอพร
เวลา ๑๔.๐๐ น. ท่านสรงน้ำแล้วเข้าห้องไหว้พระสวดมนต์
เวลา ๑๖.๐๐ น. ออกจากห้องต้อนรับญาติโยมที่มาขอพร
เวลา ๑๘.๐๐ น. เข้าห้องทำกิจภาวนา และให้ภิกษุสามเณรทั้งหมดต้องทำกิจภาวนาด้วย จนถึงเวลา ๒๐.๐๐ น.
เวลา ๒๐.๐๐ น. เสร็จจากทำกิจภาวนาแล้ว ออกจากห้องให้ภิกษุสามเณรขึ้นปรนนิบัติ และเป็นโอกาสที่ท่านให้โอวาทแนะ นำ สั่งสอน
เวลา ๒๒.๐๐ น. เข้าห้องพักผ่อน
เวลา ๒๔.๐๐ น. ล่วงจากนี้ไปแล้วท่านจะทำกิจภาวนาไปจนถึงเวลา ๐๔.๐๐ น. อนึ่งถ้าเป็นวันพระกลางเดือนและ สิ้นเดือน เวลา ๑๓.๐๐ น.ท่านจะลงอุโบสถพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อสวดและฟังพระปาฏิโมกข์โดยมิได้ขาด
หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำเดือน ๘ ปีกุน ก่อนหน้านี้หนึ่งวันหลวงปู่ได้ให้คนไปตามหลวงพ่อคงจากวัดวิสัยซึ่งเป็นหลานชายของท่าน ให้มาพบ และกล่าวว่า เมื่อท่านสิ้น ขอมอบบาตร ไม้เท้า และ ย่ามให้แก่หลวงพ่อคงนำไปเก็บรักษาไว้ด้วย
วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตอนเช้าหลวงปู่ท่านยังรู้สึกตัว มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขนท่าน นอนสงบอยู่บนเตียงที่กุฏิ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่มาปรนนิบัติหลวงปู่เห็นท่านนอนนิ่ง แต่ทว่าน้ำเกลือไหลเปรอะออกมาจึงได้ไปตามหมอมาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปอย่างสงบเสียแล้ว น้ำไม่ได้เข้าสู่ร่างกายเพราะลมหายของหลวงปู่หยุด น้ำเกลือจึงไหลล้นออกมาไม่อาจเข้าร่างกาย หลวงปู่จากไปอย่างสงบไม่ทราบเวลาที่แน่นอนเพราะท่านนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่กระวนกระวายจนผิดสังเกต
บรรยากาศ ณ เวลานั้นช่างเงียบเชียบ แม้แต่สายลมยังหยุดนิ่ง ใบไม้ไม่ไหวติงไม่มีแม้แต่เสียงนก เสียงกา ร้องเหมือนปกติเช่นเคย แสงแดดส่องประกายเหลืองจ้าผิดปกติจากทุกๆ วัน ทุกสรรพเสียงเงียบเชียบ ไม่เพียงแต่เสียงฆ้องกลองดังระงมไปทั่วซึ่งเป็นการบอกเหตุให้ชาวบ้านได้รับรู้ บ้างต่างก็พากันงุนงงเต็มไปด้วยความสงสัยสับสน มีบ้างที่รู้ถึงข่าวการอาพาธของหลวงปู่ก็เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ถึงลางบอกเหตุของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ดังนั้นทุกคนในบริเวณที่รัศมีเสียงฆ้องกลอง สามารถดังถึง ก็รีบมาที่วัดเป็นการด่วน บางคนทิ้งจอบทิ้งเสียมไว้กลางทุ่งนาโดยมิได้นึกถึงสิ่งใด เพราะตอนนี้ทุกคนต่างต้องการมาให้ถึงวัดโดยเร็ว
เมื่อมาถึงในบริเวณวัด พอทราบว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปเสียแล้ว สร้างความเศร้าโศกเสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ฟูมฟายบางคนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ด้วยคิดว่าตอนนี้ที่พึ่งทางใจได้จากไปเสียแล้ว ต่อไปนี้จะพึ่งใคร เพราะตอนสมัยหลวงปู่ท่านยังอยู่ ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดือดร้อนด้วยเรื่องอันใดก็จะได้หลวงปู่เป็นที่พึ่งปัดเป่าทุกข์ร้อนต่างๆ ให้สิ้นไป ต่อจากนี้ไปจะหันหาไปพึ่งใครได้อีกเล่า ยิ่งทำให้บรรยากาศในบริเวณวัดวังเวงยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปทราบข่าวคราว ต่างก็พากันมาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อย่างเนืองแน่นจากทุกสารทิศเพื่อกราบนมัสการสรีระและบำเพ็ญกุศล ถวายแด่ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
ตั้งแต่เช้าจรดค่ำคืน ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บ้างต้องจอดรถยนต์เดินกันเป็นระยะทาง ๒ - ๓กิโลเมตร ในระหว่างงานมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือ หาใช่เพียงแต่ผู้คนไม่ที่มานมัสการสรีระของหลวงปู่ แม้แต่เต่าที่ท่านได้เคยเลี้ยงและได้ปล่อยไปแล้ว ยังกลับมาที่วัด เสมือนว่ามันจะทราบว่าหลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว ในวันที่เต่าปรากฏนั้นเกิดพายุหมุนเล่นเอาสังกะสีหลังคาโรงที่สร้างเอาไว้สำหรับรองรับคนที่มาฟังเทศน์ ฟังการสวดพระอภิธรรม กระจัดกระจาย สังกะสีปลิวว่อน แต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด เต่าตัวนี้มีขนาดประมาณ ๑๕ - ๒๐ นิ้วเห็นจะได้ เมื่อมาถึงที่ศาลา มีคนอุ้มเอาขึ้นไปวางไว้ตรงหน้าหีบศพของหลวงปู่ เมื่อวางเสร็จเต่าตัวนี้ก็ทำหัวผงกๆ จากนั้นก็นั่ง มีคนเห็นเต่าน้ำตาไหล อาบแก้มทั้งสอง ข่าวนี้กระจายไปทั่วเมืองชุมพร คนก็เลยมาดูเต่ากันมากขึ้น
สิ่งที่น่าประหลาด คือ เมื่อนำเต่าออกมาถ่ายรูป หรือจะนำออกมาวางในลักษณะใดก็ตาม พอวางเสร็จสักครู่ เต่าก็จะหันหัว กลับไปที่หีบศพทุกครั้ง แล้วกลับไปนอนนิ่งใต้หีบศพของหลวงปู่ ความแปลกยังมีอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ จากจำนวนเต่า ๑ ตัว แรก กลายเป็น ๙ ตัว เพราะมีเต่าเพิ่มมาอีก บางตัวมาปรากฏอยู่หน้าลานวัด บางตัวชาวบ้านจับเอา มาส่งที่วัด เพราะ เขาเล่าว่าตอนขณะที่พวกเขาจะเดินทางมานมัสการหลวงปู่ เต่าได้ออกมาขวางหน้ารถ คล้ายกับว่าจะให้พามันมานมัสการหลวงปู่ด้วยนั่นเอง ที่เป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่า เมื่อตอนหลวงปู่ยังอยู่นั้น หากชาวบ้านพบเต่าคลานอยู่หรือว่าจับได้ ก็จะนำมาถวายหลวงปู่ที่วัด ท่านก็จะเอาสีเขียนทาลงไป เขียนชื่อท่านบ้าง เขียนชื่อวัดบ้าง บางตัวก็จะมีอักขระขอม เป็นที่รู้กันว่านี่คือเต่าของหลวงปู่ เป็นเต่าพันธุ์เต่าหก มีลักษณะ ๖ ขา เป็นเต่าพันธุ์เฉพาะถิ่นในแถบเมืองชุมพรนี้ บางตัวหากจะยกต้องให้ผู้ชายกำลังดีๆ ถึง ๔ คนจึงจะยกได้
มีเรื่องแปลกอีกว่า หลวงปู่ไปเข้าฝันชายคนหนึ่งแถวบ้านสามแก้วว่าให้ไปช่วยลูกของท่านที่ตกบ่อด้วย ชายคนนั้นไปดูตามบ่อต่างๆ ก็พบเต่ากำลังตะเกียกตะกาย จะขึ้นจากบ่อมาให้ได้ เขาก็ช่วยมาจากบ่อ พอดูที่กระดองเต่าก็เห็นอักษรเขียนว่า ว.ศ.ล. คือ เป็นตัวย่อของวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั่นเอง ก็เลยนำมาที่วัด มีชาวบ้านที่ได้มานมัสการหลวงปู่ เมื่อมาพบเห็นเต่าก็นำไปตีเป็นตัวเลข นำไปแทงหวย ในงวดวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ถูกกันเกือบทั้งเมืองชุมพร ข่าวเรื่องเต่าของหลวงปู่เป็นที่เกรียวกราวมากในจังหวัดชุมพร
หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำ เดือน ๘ ปีกุน เวลา ประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ท่านก็ได้มรณภาพ รวมสิริอายุได้ ๙๔ ปี ๓ เดือน ๒ วัน รวมท่านอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยเป็นเวลา ๖๔ ปี ทางศิษยานุศิษย์ ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่ ตั้งแต่วัน ๒ - ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และได้ทำพิธีปิดศพในคืนวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากนั้นทุกๆ คืนจะมีการสวดพระอภิธรรมโดยพระภิกษุภายในวัด และโดยเฉพาะในวันอังคาร ซึ่งกับวันคล้ายวันเกิด และวันมรณภาพ ของหลวงปู่ท่าน จะมีการสวดพิเศษคือ การสวดในบท อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร สลับกันไปทุกๆ วันอังคาร ของแต่ละสัปดาห์ และจะมีการสวดครบรอบวันมรณภาพในแต่ละปี โดยตรงกับ วันที่ ๒ สิงหาคม ของทุกๆ ปี จะมีการนิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในจังหวัดชุมพร มาสวดเป็นประจำทุกๆ ปี
ปัจจุบัน สรีระของหลวงปู่ได้ประดิษฐานอยู่ บนศาลาธรรมสังเวช เพี่อให้พุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์ได้กราบสักการบูชาตลอดไป
คำให้พรของหลวงปู่ที่ได้ยินบ่อยครั้ง จงบังเกิดมีแด่ญาติโยมทุกๆ ท่านเทอญ
หลวงปู่สงฆ์ เป็นนามที่ ชาวกรุงเทพมหานคร เรียกชื่อท่าน ด้วยความ เคารพ เลื่อมใส ท่านเป็นพระคณาจารย์ สมถวิปัสสนา ที่ชาวจังหวัดชุมพร และชาวกรุงเทพๆ ภูมิใจเป็นหนักหนา หลวงปู่ท่าน มีความเมตตาปรานีแก่ทุกๆคน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ถ้าแม้บุคคล ใดไปขอพรจากท่านแล้ว จะได้รับความสมหวังอย่างมั่นคง ด้วยทุกคนเชื่อว่า ท่านหลวงปู่สงฆ์ มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก หลวงปู่สงฆ์ ท่านเป็นคนชาว จังหวัดชุมพร โดยกำเนิด ท่านเกิด ที่หมู่บ้านวิสัยเหนือ อ.สวี จ.ชุมพร เมื่อวันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีขาล พ.ศ.๒๔๓๓ บิดา ชื่อ นางแดง มารดาชื่อ นางนุ้ย มีอาชีพทำนา-ไร่สวน อายุได้ ๑๘ ปี ท่านได้บรรพชาเป็น สามเณร ที่วัดสวี อันเป็นวัดใกล้ๆบ้านเกิดท่าน
เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่ ๒ ปี จึงได้ลาสึก ออกไปช่วยบิดา มารดา ประกอบอาชีพทำงานท้องนาและไร่สวน ครั้นอายุครบอุปสมบท ท่านได้มาฝากตัวแก่พระอุปัชฌาย์ ที่วัดสวี ขอบวชเป็น พระภิกษุสงฆ์ ได้รับความเมตตาจาก พระอาจารย์ชื่น เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้ฉายาว่า "จันทสโรภิกขุ" หลังจากบวชเป็นพระแล้ว ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดควน อ.สวี จ.ชุมพร ๑ พรรษา ในระหว่างพรรษา ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม จนพอรู้แนวทางการ ดำเนินชีวิตในเพศพรหมจรรย์ ออกพรรษาแล้ว ท่านมีความสนใจทางสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน แต่ในจังหวัดชุมพร ไม่มีพระอาจารย์สอนทางด้านนี้เลย ท่านจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์ -อาจารย์ ออกจากจังหวัดชุมพร มุ่งหาพระอาจารย์สอนกรรมฐานในถิ่นอื่นๆ โดยได้ออกเดินทางไปท่ามกลางป่าเขาอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะท่าน ยังไม่รู้จักคำว่า " เดินธุดงค์" ในสมัยนั้น แต่หลวงปู่สงฆ์ มีความแน่ใจว่า การเดินทางอยู่ในป่าดงพงไพรนี้ จะต้องพบกับ พระผู้ปฏิบัติบ้าง เพราะพระกรรมฐานชอบอยู่ป่าดง มากกว่า อยู่วัดวาอาราม หลวงปู่สงฆ์ รอดพ้นจากอันตรายรอบด้าน เช่น สัตว์ป่า ไข้ป่าอันดุร้ายไปได้ ก็เพราะแรงใจที่มุ่งปฏิบัติธรรม กับพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อพบก็จะมอบตัวเป็น ศิษย์ ขอฝึกอบรมด้วยเท่านั้น
หลวงปู่สงฆ์ประสบความสมหวัง เมื่อได้ทราบว่า .... พระอาจารย์รอด วัดโต๊ะแซ หรือตอแซ เป็นพระอาจารย์ที่ทรงฌานสมาบัติสูงองค์หนึ่ง ในจังหวัดภูเก็ต ท่านจึงได้ไป ฝากตัวเป็นศิษย์ ขอฝึกอบรม ปฏิบัติพระกรรมฐาน อยู่กับพระอาจารย์รอด ๒ พรรษา หลวงปู่สงฆ์ มีความพากเพียร อย่างคร่ำเคร่ง มีสมาธิแก่กล้า สามารถในทาง ปฏิบัติมากแล้ว ท่านพระอาจารย์รอด ได้ให้ออกเดินธุดงค์ไปอยู่ป่าช้า ตามถ้ำผาป่าดง ต่อไป เพื่อความรุ้แจ้งในจิตใจ และจะได้ปรารภธรรมตามสติปัญญา หลวงปู่สงฆ์เดินธุดงคกรรมฐานไปจนถึงชายแดนด้านมาลายู จากนั้นท่านก็ ได้เดินธุดงค์ ย้อนกลับมาจนถึงจังหวัดเพชรบุรี
หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านมีความชำนาญในเรื่องสมถกรรมฐานและวิปัสสนา กรรมฐานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมัยก่อนโน้น ทางภาคใต้ นับตั้งแต่จังหวัดชุมพรลง ไป ครูบาอาจารย์ต่างๆ มักจะสนใจปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้ว เดินจิตเล่นฤทธิ์ กันเสีย โดยส่วนมาก สำนักเรียนวิชาต่างๆ ภายใน(จิต) สำนักเขาอ้อ มีชื่อเสียงมากในเรื่องนี้ แต่ หลวงปู่สงฆ์ ก็ดี หลวงปู่หมุนก็ดี ตามที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านสามารถหัน เข้ามาดำเนินจิตสู่วิปัสสนากรรมฐานเสีย เพราะเป็นหนทางออกจากความยึดมั่น ในอำนาจจิต อำนาจฌานได้อย่างสิ้นเชิง เป็นความจริงดังนี้
ต่อมาหลวงปู่สงฆ์ ท่านเกิดสติปัญญา มองเห็นภัยในวัฎสงสาร ที่มันเคย แปรปรวน หมุนเวียน ไม่รู้จบ ท่านเกิดเบื่อหน่าย คิดดำเนินชีวิตในป่าดงพงไพร ทำจิต เร่งบำเพ็ญเพียร เพื่อความพ้นทุกข์ การเดินธุดงคกรรมฐานของครูบาอาจารย์นั้น มิใช่ว่าจะเดินไปในที่แห่งหนึ่ง แล้วไปในที่แห่งหนึ่ง พึงรีบเดินเพื่อให้ถึงเร็วๆนั้น หาไม่ แต่การเดินธุดงค์ก็เหมือนการเดินแบบปกติ หรือเดินจงกรมนั่นเอง ท่านเดินอย่างมีสติ .... คือ ขณะที่ก้าวเดินไปนั้น ท่านกำหนดคำบริกรรม หรือพิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ โดยไม่นับก้าวแต่อย่างใด ท่านเดินด้วยสติ แม้อะไรจะเกิดขึ้นมาในช่วงนั้น ท่านก็รู้ชัด ไม่มีอาการของ จิตแส่ส่ายไปมา เพราะสติเป็นกำลังอันสำคัญขณะทำความเพียร เช่นอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านได้อาศัยชีวิตอยู่ในป่าดงเป็นเวลาหลายปี อาศัยโคน ไม้ ถ้ำผาต่างๆ เป็นที่พักผ่อน ไม่มีความอาลัยในชีวิตว่าจะสุข หรือทุกข์ ท่านมุ่งปฏิบัติธรรม เพื่อความรู้ธรรม
เมื่อรู้ธรรมแล้ว ท่านก็นำธรรมะนั้น มาสอนจิตสอนใจตนเอง ขัดเกลา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นสมบัติประจำสันดานมนุษย์ ให้หลุดให้ลอกออกไปจากจิตใจ ชำระจิตใจด้วยธรรม เพื่อความสะอาดหมดจดแห่งชีวิต ๗ ปี แห่งการทรมานกิเลส ภายในจิตใจของท่าน ซึ่งไม่เคยออกจากป่าสู่เมือง เลย ทำให้สภาพจิตสดใสแจ่มแจ้งในธรรมะ แต่สภาพสังขาร ดูออกจะเป็นฤาษีชีไพร หนวดเครารุงรัง ผมเผ้ายาว จีวร สบง ขาดรุ่งริ่ง นั่งภาวนาในป่าเมืองชุมพร คล้ายกับวาสนาท่านจะต้องมาอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จึงมีชาวบ้านป่า เดินตามนกตัวหนึ่ง ที่ร้องเป็นภาษามนุษย์ว่า " หนักก็วางเสีย ! หนักก็วางเสีย " ชาวบ้านป่า เดินตามนก จนพบหลวงปู่สงฆ์ และได้นิมนต์มาอยู่วัดร้างแห่งนั้น หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ ที่มีความอดทน ค้นคว้า สัจธรรม ความเป็นจริง ของพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิตเป็นเดิมพัน ๑๐ พรรษา ท่ามกลางป่าดง ท่านอาศัยภูเขาลำเนาไพรมาโดยตลอด การบิณฑบาต ท่านโคจรไปในหมู่บ้านชาวป่า ได้บ้างอดบ้าง ตามอัตภาพ จนมีความพอดีแก่จิตใจ ปล่อยวางของหนักได้หมดสิ้นแล้วอย่างมั่นใจ
ท่านจึงออกจากป่า สู่วัดร้างแห่งหนึ่ง ท่านได้จำพรรษาก่อสร้างวัดร้างแห่งนั้น จนเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบัน โดยขนานนามว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อ.เมือง จ.ชุมพร หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ในจังหวัดชุมพร บัดนี้ท่านได้วางแล้วซึ่งขันธ์อันหนักหน่วงของท่าน และได้ทิ้งรากฝากความดีงามให้แก่ชนรุ่นหลังระลึกถึง ณ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย
สิ่งมงคลและยาวิเศษ
สิ่งอันเป็นมงคลที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร อนุเคราะห์ชาวบ้านที่ได้รับความทุกข์ร้อน โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เมื่อมาหาท่าน ท่านจะอนุเคราะห์ช่วยเหลือจนหายจากโรคภัยไข้เจ็บโดยสิ้นเชิง และสิ่งของที่ท่านมอบให้นั้นก็ไม่กี่บาท ขอยกให้เห็นชัดดังนี้ ที่ข้าง ๆ บันไดกุฏิของท่านจะมีตุ่มใส่น้ำมนต์ตั้งไว้ใบหนึ่ง ท่านจะลงมาจากกุฏิทำน้ำมนต์ ในเวลากลางคืนแล้วนำมาใส่ตุ่มไว้ ตอนเช้ามืดอีกครั้งหนึ่ง ท่านจะลงมาเทใส่ตุ่มที่หมดทุกวัน ๆ น้ำมนต์ในตุ่มนั้นจะมีผู้ที่รู้แหล่งเข้ามาขอตักไปบูชาหรือดื่มกิน น้ำมนต์ของหลวงปู่สงฆ์เป็นสิ่งมงคลที่มีความขลัง และศักดิ์สิทธิ์ สามารถอาราธนาให้เกิดผลในสิ่งที่ตนปรารถนาได้ทุกประการตามแต่คำอธิษฐานจิตของผู้ใช้ โอ่งน้ำมนต์ของท่านเรียงรายอยู่ตามบันได ทางขึ้นลงกุฏิทั้งด้านซ้ายด้านขวา แท้จริงถ้ามองเผิน ๆ มันจะเป็นโอ่งน้ำล้างเท้า แต่ทว่าไม่ใช่ เพราะคนสมัยนี้สวมรองเท้า ไม่ได้มาเท้าเปล่าแล้วมาล้างเชิงบันได เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้าหลวงปู่จะทำน้ำมนต์ มาเทลงในโอ่ง ท่านทำอย่างนี้ทุกวัน
น้ำมนต์ไล่ผีอย่างเห็นได้ชัด ครั้งหนึ่งมีคนแถวสามแก้วได้พาลูกสาวซึ่งมีอาการเหมือนถูกผีเข้าสิง ดิ้นทุรนทุรายร้องเอะอะเสียงดัง ญาติผู้ชายร่างกายแข็งแรงต้องช่วยกันพามาที่วัด มานั่งรออยู่เชิงบันได เพราะบนกุฏิหลวงปู่นั้น ผู้หญิงขึ้นไม่ได้ แล้วพ่อของเด็กก็ขึ้นไปเล่าอาการให้ฟัง เมื่อได้ฟังอาการแล้วหลวงปู่ก็เดินมาที่หน้ากุฏิมองลงมาที่เด็กสาวคนนั้น ชายสองคนจับแขนเอาไว้แน่น ขณะที่เด็กสาวสะบัดจะให้หลุด ปากก็ร้องเสียงดังเอะอะ หลวงปู่มองดูสักครู่ท่านก็ร้องบอก “นิ่งเสียบ้างซิ”
เด็กสาวที่ร้องครวญครางส่งเสียงดังก็หยุดชะงักลงทันทีเมื่อสิ้นเสียงหลวงปู่ที่พูดลงมา สักครู่ก็ร้องอีก นายสร้าง คนติดตามหลวงปู่มานานหลายปีได้ยื่นขันน้ำที่ตักจากในโอ่งบนกุฏิส่งให้ หลวงปู่หยิบขันน้ำมาก็เทโครมลงมาทันที ถูกร่างของเด็กสาวคนนั้นอ่อนแรงจนนอนราบเรียบสงบ หลวงปู่หันหลังกลับเข้ากุฏิ สักครู่เด็กสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นงัวเงีย อาการผิดปกติหายไปราวกับปลิดทิ้ง น่าสังเกตตรงที่ว่า น้ำที่นายสร้างตักใส่ขันความจริงเป็นน้ำดื่มกินธรรมดา เมื่อหลวงปู่รับขันมาท่านก็เทโครมทันที ไม่ได้เสกหรือเป่าใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าเป็นรูปแบบของคณาจารย์อื่น ๆ จะต้องมีการเสกการเป่าเสียก่อน แต่หลวงปู่ไม่ต้อง ได้มาเททันที
เรื่องของการใช้น้ำมนต์ไล่ผีเข้าเจ้าสิงของหลวงปู่นั้นโด่งดังอยู่ ดังนั้นน้ำมนต์ของหลวงปู่จึงมีคนต้องการมาก
ยาเส้น
ตามปกติหลวงปู่สงฆ์ท่านชอบใช้ยาเส้นสีปากแล้วอมเอาไว้ ดังนั้นยาเส้นที่ท่านใช้แล้วเหล่านั้น จะกลับกลายเป็นของวิเศษ เป็นของที่มีมงคลศักดิ์สิทธิ์ คือ กลายเป็นของขลังอย่างยอดเยี่ยม สมัยก่อนนั้น คนที่ไปวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจะหายาเส้น ไปสักจำนวนหนึ่ง บางคนก็เอาไปเป็นห่อ แล้วก็ให้หลวงพ่อเสกให้ต่อจากนั้นก็นำมาเป็นวัตถุมงคลติดตัว ต่อมาทางวัดมีความคิดดีนำเอายาเส้นอัดพลาสติกห้อยคอ ทำเหมือนกับลูกอม ปิดทองอีกด้วย เพราะยาเส้นโด่งดังและเป็นที่ต้องการของผู้ที่เข้าวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เรื่องมันมีอยู่ ค่อนข้างเกรียวกราวในชุมพร คือ ครั้งหนึ่ง ได้มีคนมาหาหลวงปู่ ท่านก็มอบยาเส้นไปให้ ยาเส้นนี้เดิมทีเป็นของใช้ประจำวันของหลวงปู่ ท่านเอามาสีฟัน คนที่เคารพนับถือเห็นว่าอะไรก็ตามที่ท่านใช้ย่อมจะเป็นมงคลทั้งสิ้น ก็เลยขอยาเส้นท่านไป เมื่อได้แล้วก็นำไปไว้ในเซฟ รวมกับเอกสารและของมีค่า เขาถือว่า ยาเส้นของหลวงปู่ เป็นของมีค่าด้วยชนิดหนึ่งต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี หลังจากนั้นไม่นานนักขโมยเกิดเข้าบ้านชายคนนี้ เมื่อมันเปิดเซฟออกมา มันก็เบือนหน้า เพราะในเซฟไม่มีสมบัติอะไรเลย ภายในเซฟมีแต่ยาเส้นกองเต็มไปหมดไม่มีของมีค่า
แต่แล้วคนพวกนี้ก็ไปไม่รอด โดนจับได้ ของกลางไม่มีอะไร เพราะมันไม่ได้อะไรไปเลย บอกกับตำรวจเพียงว่า“ในเซฟมีแต่ยาเส้น ใครจะเอาไปทำไม” ความจริงยาเส้นในเซฟนั้นมีเพียงก้อนเล็ก ๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น แปลกใจทำไมมันจึงมองเห็นว่ามีมากมายไปได้หรือจะเป็นเพราะ อภินิหารยาเส้นมงคลของหลวงปู่ ยาเส้นของหลวงปู่นั้นแท้จริงก็คือ ยาเส้นที่หลวงปู่ชอบอมเอาไว้ หรือเรียกกันแบบภาษากลางว่า ถุนยา คือเอายาเส้นใส่ปากอมเอาไว้ เมื่อมีคนอยากได้ บางคนขอเอาจากปากท่านเลยก็มี ท่านก็คายออกใส่มือที่แบรออยู่
น้ำปลา...ยาวิเศษ
เรื่องนี้ได้ทราบจากชาวบ้านจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อหลายปีมาแล้วว่า เขาปวดท้องมานาน ๑๐ กว่าปี ไปรักษาที่ไหนตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เสียเงินไปเป็นแสนบาท นายแพทย์เก่งขนาดไหนก็รักษามาแล้ว ที่ไหนว่าเก่ง ๆ พอเจอโรคของบุคคลนี้เข้า ยอม กลัว รักษาไม่หาย ต่อมาได้ยินเขาเล่าลือว่าทางจังหวัดชุมพรมีพระที่วิเศษรูปหนึ่ง เคยรักษาโรคมาเป็นพันๆ คน และก็หายจนหมดสิ้นทุกคนคนป่วยจึงได้หอบสังขารชนิดผอมติดกระดูกมาหา หลวงปู่สงฆ์ นี่แหละ ทันทีที่เห็นหน้าหลวงปู่สงฆ์ คนป่วยก็มีความรู้สึกศรัทธาอย่างมากมาย ขนลุกขนพองอยู่ตลอดเวลา แม้ท่านจะกลับเข้ากุฏิไปแล้วก็ตาม ศิษย์ของท่านจึงนำน้ำปลาไปให้ท่านเพ่งกระแสจิตให้สัก ๑๐ นาที แล้วนำน้ำปลานั้นมาให้และบอกว่าให้กินน้ำปลานี้ ยาอื่นท่านบอกว่าไม่ต้องกินแล้ว ถึงกินก็ไม่หาย ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่สงฆ์ หญิงคนนั้นจึงเปิดขวดน้ำปลาดื่มเข้าไป แม้ว่าน้ำปลาจะมีรสเค็มจริงอยู่ แต่เวลาน้ำปลาผ่านลำคอไปแล้ว รู้สึกเย็น ๆ พอไปถึงท้องแล้วอาการปวดท้องเสียด ๆ นั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่เกิดขึ้นอีกเลย เกิดความตื้นตันขึ้นมา ดื่มเข้าไปอีกต่อหน้าลูกศิษย์หลวงปู่สงฆ์ มีอาการยิ้มแย้มฉายให้เห็นท่าทีว่า อาการภายในสงบ ภายนอกก็แจ่มใส ผู้ป่วยนั้นก็ก้มลงกราบตรงเชิงบันไดกุฏิของหลวงปู่สงฆ์ แล้วได้ร่วมทำบุญกับวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยด้วยความศรัทธาแล้วจึงลากลับบ้านของตน
สำหรับชาวบ้านจะนำน้ำปลาเอามาให้หลวงปู่สงฆ์เสกเป่าเป็นมงคลขึ้น เสร็จพิธีแล้วน้ำปลาจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ มีความขลังในการรักษาโรคผิวหนัง แผลเน่าเปื่อยได้ชะงัดดีนัก โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติด น้ำปลาของหลวงปู่สงฆ์จะรักษาได้เป็นอย่างดี นับเป็นสิ่งมงคลในการรักษาโรคภัยอย่างไม่เคยมีผู้ใดกระทำมาก่อน
น้ำล้างบาตร
น้ำล้างบาตร นับเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านจะเอาน้ำใส่บาตรเพื่อล้าง ผู้ประสงค์ก็จะคอยรับน้ำล้างบาตรกัน เมื่อผู้ใดได้น้ำล้างก้นบาตรแล้ว ก็จะนำเอาไปอธิษฐานบารมีเป็นที่พึ่ง เพื่อนำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้วก็ได้รับความสำเร็จทั่วหน้า
เรื่องน้ำล้างบาตรของหลวงปู่สงฆ์ นี้ ก็มีเรื่องเล่ากันว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่ง มีกิจการโรงแรมในจังหวัดชุมพร ได้เดินทางมาที่ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย และได้ขอน้ำล้างก้นบาตรจากหลวงปู่สงฆ์ เพื่อจะเอาไปแก้โรคภัยไข้เจ็บชนิดเรื้อรังที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนั้น เมื่อได้น้ำก้นบาตรใส่ขันใบใหญ่แล้ว เธอก็นั่งรถกลับจังหวัดชุมพร แต่ขณะนั่งรถมาระหว่างทางเธอได้พิจารณาดูน้ำล้างบาตรในขันที่ใส่มา เห็นเม็ดข้าวขาว ๆ และชิ้นเศษอาหาร ลอยปะปนอยู่ ดูสกปรกน่ารังเกียจ ก็เกิดเสื่อมความศรัทธาขึ้นมา และไม่เชื่อว่าน้ำล้างก้นบาตร นี้จะรักษาโรคได้จริง คิดได้ดังนั้นก็หยิบยกขึ้นมาเทลงข้างทางเสีย แล้วก็นั่งรถกลับมาถึงบ้าน คืนนั้นขณะกำลังนอนหลับอยู่ พอเริ่มเคลิ้ม ๆ หลับได้นิดเดียวก็รู้สึกคันระยิบระยับไปทั้งตัวเป็นที่น่าสงสัยนัก เธอผู้นั้นจึงลุกขึ้นไปเปิดไฟดูก็พบว่า หนอนตัวขาว ๆ จำนวนมากมาย ไต่ตามตัว และที่นอนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด สตรีผู้นั้นตกใจและขยะแขยงแทบเป็นลม จึงร้องเรียกคนรับใช้ให้มาช่วยกันกวาดเอาตัวหนอนขาว ๆ เหล่านั้นออกมาจากห้องไปทิ้งเสีย สตรีผู้นั้นก็มิได้สนใจคิดอะไร ล้มตัวลงนอนต่อไป พอเกือบจะเคลิ้มๆ ได้สักเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บ รู้สึกว่าหนอนยังมีหลงเหลืออยู่อีกแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก จึงรีบเปิดไฟฟ้าขึ้นดู ทีนี้พบหนอนสีขาวๆ มากมายกว่าเก่า มีขนขึ้นเต็มตัว
สตรีผู้นั้นเกิดความกลัวสุดขีด จึงวิ่งหนีออกมานอกห้องนอน แล้วเรียกคนใช้ออกมาให้กวาดหนอนไปทิ้งอีก คนใช้ทุกคนรีบกวาดหนอนตัวขาวๆ นั้นมารวม ๆ กัน เพราะครั้งนี้ดูมันคลานกันเต็มห้องไปหมด แต่ยังมิได้เอาไปทิ้งก็เกิดเหตุที่ทำให้ตกตะลึงอยู่ กับที่ฝูงหนอนดังกล่าวกลับกลายเป็นเมล็ดข้าวสารขาว ๆ ไปทั้งหมด แม้จะเป็นเมล็ดข้าวสารก็จริง แต่ ใจยังหวาดผวาด้วยความอัศจรรย์นั้นอยู่ ครั้นแล้วสตรีผู้นั้น เมื่อหายจากอาการตกตะลึง ก็รู้ได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไร รู้สึกสำนึกว่าตนเองได้ทำความผิดไว้อย่างมหันต์ที่คิดลบหลู่ดูหมิ่น น้ำล้างก้นบาตร ของ หลวงปู่สงฆ์เมื่อตอนกลางวันนี้ โดยนำน้ำก้นบาตรเททิ้งข้างทาง ดังนั้นสตรีผู้นั้นจึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชา กล่าวคำอโหสิกรรมโทษที่ตนล่วงเกินด้วยความเกรงกลัว จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีหนอนมารบกวนอีกเลย สามารถนอนหลับได้อย่างสบายตลอดรุ่งเช้า
กวางน้อย
มีชาวบ้านคนหนึ่งได้นำลูกกวางมาถวายให้หลวงปู่ เป็นลูกกวางตัวผู้ ยึดถือหลักเอาไว้อย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ตัวเมียท่านจะไม่เลี้ยงเลย กวางน้อยตัวนี้กำลังซน หลวงปู่ก็เอาชายจีวรที่ท่านฉีกมาผูกคอไว้ มันก็เที่ยวของมันไปตามประสา เพราะไม่ได้ผูกมัดแต่อย่างใด บางครั้งไปกินพืชผักของใครเข้า เจ้าของโกรธไล่ตี มันก็วิ่งหนีกลับเข้าวัด เพราะความเกเรซุกซนของมันนี่แหละ โดนดีเข้าจนได้ มีคนเอาปืนลูกซองยิงมัน แต่ทว่าด้าน ยิงไม่ออกหลายครั้ง จนลือกันว่า กวางตัวนี้หนังมันดี ยิงไม่ออก วันหนึ่งมันออกไปกินยอดพลูของครูคนหนึ่งเข้าที่บ้านข้างวัด ครูคนนั้นก็เอาไม้ไล่ตี ปากก็ตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตกกลางคืน กวางตัวนี้ ชื่อไอ้น้อย ก็แอบเข้ามากินยอดพลูที่เหลือหมดที่ปลูกเอาไว้ ครูนั้นโกรธมาก มาเล่าเรื่องแบบฟ้องหลวงปู่ ท่านก็หัวเราะพูดลอย ๆ ว่า “ก็ครูอยากไปด่ามันทำไม ไอ้น้อยไม่ชอบให้ใครด่า” ครูเก็บเอาความแค้นไว้ในอกเงียบ ๆ หลังจากนั้นได้ไปติดต่อกับคนรับซื้อสัตว์ป่า เพื่อจะขโมยไอ้น้อยกวางหลวงปู่มาขาย สมคบกับอีกคนหนึ่งเตรียมขโมยไอ้น้อย แล้ววันนั้นไอ้น้อยก็รับกรรม ถูกจับตัวเอาขึ้นบนรถไปหมายจะนำไปขายในกรุงเทพ ฯ บนรถบรรทุกไอ้น้อยมานั้นมีสัตว์ป่าอีกหลายตัวรวมอยู่ด้วย รถได้แล่นออกมาจากชุมพรจวนจะถึงเขาหินช้าง เกิดยางแตก กำลังเปลี่ยนยางอยู่นั้น ไอ้น้อยกวางหลวงปู่ก็หลุดหนีออกมาได้ ไอ้น้อยได้ไปเที่ยวอยู่แถว ๆ พ่อตาหินช้าง บ้านยายไท แถวน้ำตกกะเปาะอำเภอท่าแซะ อยู่ระยะหนึ่ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่ไอ้น้อย กำลังเที่ยวหาอาหารอยู่ในเวลาเช้า ไอ้น้อย หารู้ตัวไม่ว่า ความตายกำลังจะมาเยือนมันอยู่แล้ว ขณะที่มันกำลังเพลิดเพลินเล็มยอดไม้อยู่นั้น ก็ได้มีชายผู้หนึ่ง ชื่อว่า นายหวิน กำลังจะยัดเยียดความตายให้กับไอ้น้อย ด้วยอาวุธปืน นายหวินได้สับไกปืน เพื่อทีหวังจะล้มไอ้น้อยให้ได้ แต่ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้ว กระสุนของนายหวินก็ไม่ระเบิด แต่ทำไมจึงทำอะไรไอ้น้อยไม่ได้ “มันกวางอะไร กวางของใคร ทำไม่จึงยิงไม่ออก แปลก” นายหวินรำพึงรำพันอยู่ในใจ ขณะที่นายหวินครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาไปเหลือบเป็นผ้าสีเหลือง คือผ้าพระผูกอยู่ที่คอของไอ้น้อย ด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเอง ประกอบกับดวงของได้น้อยมันถึงฆาต เหมือนกับคำที่กล่าวว่า“ถึงคราวตายแน่นอน ทางแก้ไม่มี ตายแน่เราหนีกันไปไม่พ้น จะเป็นราชาหรือมหาโจร ต้องทิ้งกายสกนธ์สู่เชิงตะกอน” นายหวินได้เข้าไปปลดผ้าสีเหลืองที่ผูกคอไอ้น้อยไว้ ซึ่งเป็นเศษผ้าจีวรของหลวงปู่ออกจากคอไอ้น้อย
อนิจจาความตายกำลังจะมาเยือน ไอ้น้อย เมื่อดวงมันถึงฆาต มันก็ทำอะไรไม่ถูก ธรรมดาแล้วมันไม่ค่อยจะให้ใครเข้าใกล้ตัวมัน ยกเว้น หลวงปู่ และกับคนที่มันรู้จักมักคุ้นเท่านั้น แต่เพราะสัตว์มันไว้ใจคน หารู้ไม่ว่า คน ๆ นั้นกำลังจะหยิบยื่นความตายให้ นายหวินปลดผ้าเหลืองออกจากคอไอ้น้อยแล้วก็รีบวิ่งกลับไปยังบริเวณที่ได้เอาปืนพิงไว้กับต้นไม้ใหญ่ เบนลำกล้องปืนกลับมาสู่ตัวไอ้น้อยอีกครั้ง พร้อมกับลั่นไก “ปัง” เสียงปืนดังแน่นคับราวป่า ผู้ชำนาญเสียงปืน ถ้าได้ยินเสียงก็บอกได้ว่า กระสุนเข้าเป้าอย่างแน่นอน ไอ้น้อยล้มทั้งยืน ในขณะที่ปากของมันยังคาบยอดไม้อ่อนอยู่ แต่ว่ามันไม่มีโอกาสที่จะได้เคี้ยวอีกต่อไป เลือดแดงฉานทะลักออกมาจากท้องราวกับสายน้ำ ตาของไอ้น้อยค้าง แต่หากมันมีความรู้สึกสักนิด ก็จะสงสัยว่า “ทำไมวันนี้จึงสั้นเสียเหลือเกิน เรากินอาหารมื้อเช้ายังไม่ทันอิ่ม ก็มืดเสียแล้ว” โอ้อนิจจาความตายไม่เคยเว้นใคร แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ฝ่ายนายหวิน มือเพชฌฆาต ดีอกดีใจที่ได้ล้มไอ้น้อยลงได้ใครล่ะจะแน่กว่าเรา ภรรยาของหวิน อยู่ที่บ้านตกใจ โดยไม่รู้สาเหตุ ตะโกนบอกเพื่อนบ้านใกล้เคียงว่า "หวินยิงกวางหลวงปู่ หวินยิงกวางหลวงปู่" ทั้ง ๆ ที่มิเห็นกับตา เพื่อนบ้าน เมื่อได้ยินดังนั้น ก็พากันไปดู พบหวินกำลังชำแหละเนื้อกวางตัวนั้นอยู่ บางคนก็คิดอยากจะช่วย แต่ในขณะนั้นเอง กลิ่นอุจจาระก็ส่งกลิ่นตลบอบอวน โดยไม่ทราบสาเหตุที่ไปที่มาของกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ หวินและเพื่อนบ้านช่วยกันตรวจสอบ ก็พบว่ากลิ่นนั้นมาจากซากกวางที่ถูกยิงนั้นเอง ในที่สุด ก็ไม่มีใครเอาเนื้อนั้นไปได้เลยแม้แต่น้อย เพราะเหมือนจะเหม็นจนไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง
ฝ่ายหวินเอง เมื่อเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นก็เริ่มตกใจกลัวจนใจเตลิดเปิดเปิง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “กวางที่ตัวเองล้มกับมือ กลายเป็นอุจจาระไปได้อย่างไร” สติวิปลาสขึ้นในบัดดลนั้นเอง วิ่งเตลิดเปิดเปิงกลับบ้านไม่ถูก เพื่อนบ้านกับภรรยาของหวิน เมื่อทราบดังนั้นจึงได้ไปบอกกล่าวขอโทษหลวงปู่ ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยว่า “หวินมันยิงกวางเสียแล้วล่ะ หลวงปู่” หลวงปู่ก็กล่าวว่า “คนยิงมันบ้า” นายหวินก็บ้าไม่ได้สติตั้งแต่บัดนั้นจนทุกวันนี้ จะด้วยกรรมที่หวินทำลงไปหรืออะไร เราเองก็ไม่ทราบได้ แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับนายหวิน เพราะนายหวินไปยิงกวางของหลวงปู่ตาย
กิจวัตรของหลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
เวลา ๐๔.๐๐ น. ไหว้พระทำวัตรเช้า
เวลา ๐๖.๑๐ น. ท่านออกจากห้องเตรียมที่จะออกบิณฑบาต ในระหว่างนั้น สามเณรอุปัฏฐากจะขึ้นปฏิบัติและญาติโยมมากราบขอพร
เวลา ๐๗.๐๐ น. ออกบิณฑบาต เมื่อกลับมาแล้วท่านเข้าห้องไหว้พระอีก
เวลา ๐๙.๐๐ น. ลงหอฉัน เพื่อฉันภัตตาหาร เมื่อฉันภัตตาหารและให้พรเรียบร้อย ท่านจะพูดคุยกับญาติโยมที่มาทำบุญ หลังจากนั้นท่านกลับขึ้นกุฏิและต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่มาจากใกล้และไกลพอสมควร แล้วเข้าห้องพักผ่อน
เวลา ๑๒.๓๐ น. ออกจากห้อง เพื่อต้อนรับศรัทธาญาติโยมที่มาขอพร
เวลา ๑๔.๐๐ น. ท่านสรงน้ำแล้วเข้าห้องไหว้พระสวดมนต์
เวลา ๑๖.๐๐ น. ออกจากห้องต้อนรับญาติโยมที่มาขอพร
เวลา ๑๘.๐๐ น. เข้าห้องทำกิจภาวนา และให้ภิกษุสามเณรทั้งหมดต้องทำกิจภาวนาด้วย จนถึงเวลา ๒๐.๐๐ น.
เวลา ๒๐.๐๐ น. เสร็จจากทำกิจภาวนาแล้ว ออกจากห้องให้ภิกษุสามเณรขึ้นปรนนิบัติ และเป็นโอกาสที่ท่านให้โอวาทแนะ นำ สั่งสอน
เวลา ๒๒.๐๐ น. เข้าห้องพักผ่อน
เวลา ๒๔.๐๐ น. ล่วงจากนี้ไปแล้วท่านจะทำกิจภาวนาไปจนถึงเวลา ๐๔.๐๐ น. อนึ่งถ้าเป็นวันพระกลางเดือนและ สิ้นเดือน เวลา ๑๓.๐๐ น.ท่านจะลงอุโบสถพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อสวดและฟังพระปาฏิโมกข์โดยมิได้ขาด
หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคาร ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำเดือน ๘ ปีกุน ก่อนหน้านี้หนึ่งวันหลวงปู่ได้ให้คนไปตามหลวงพ่อคงจากวัดวิสัยซึ่งเป็นหลานชายของท่าน ให้มาพบ และกล่าวว่า เมื่อท่านสิ้น ขอมอบบาตร ไม้เท้า และ ย่ามให้แก่หลวงพ่อคงนำไปเก็บรักษาไว้ด้วย
วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตอนเช้าหลวงปู่ท่านยังรู้สึกตัว มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขนท่าน นอนสงบอยู่บนเตียงที่กุฏิ เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่มาปรนนิบัติหลวงปู่เห็นท่านนอนนิ่ง แต่ทว่าน้ำเกลือไหลเปรอะออกมาจึงได้ไปตามหมอมาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปอย่างสงบเสียแล้ว น้ำไม่ได้เข้าสู่ร่างกายเพราะลมหายของหลวงปู่หยุด น้ำเกลือจึงไหลล้นออกมาไม่อาจเข้าร่างกาย หลวงปู่จากไปอย่างสงบไม่ทราบเวลาที่แน่นอนเพราะท่านนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่กระวนกระวายจนผิดสังเกต
บรรยากาศ ณ เวลานั้นช่างเงียบเชียบ แม้แต่สายลมยังหยุดนิ่ง ใบไม้ไม่ไหวติงไม่มีแม้แต่เสียงนก เสียงกา ร้องเหมือนปกติเช่นเคย แสงแดดส่องประกายเหลืองจ้าผิดปกติจากทุกๆ วัน ทุกสรรพเสียงเงียบเชียบ ไม่เพียงแต่เสียงฆ้องกลองดังระงมไปทั่วซึ่งเป็นการบอกเหตุให้ชาวบ้านได้รับรู้ บ้างต่างก็พากันงุนงงเต็มไปด้วยความสงสัยสับสน มีบ้างที่รู้ถึงข่าวการอาพาธของหลวงปู่ก็เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ถึงลางบอกเหตุของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ดังนั้นทุกคนในบริเวณที่รัศมีเสียงฆ้องกลอง สามารถดังถึง ก็รีบมาที่วัดเป็นการด่วน บางคนทิ้งจอบทิ้งเสียมไว้กลางทุ่งนาโดยมิได้นึกถึงสิ่งใด เพราะตอนนี้ทุกคนต่างต้องการมาให้ถึงวัดโดยเร็ว
เมื่อมาถึงในบริเวณวัด พอทราบว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปเสียแล้ว สร้างความเศร้าโศกเสียใจ บางคนถึงกับร้องไห้ฟูมฟายบางคนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ด้วยคิดว่าตอนนี้ที่พึ่งทางใจได้จากไปเสียแล้ว ต่อไปนี้จะพึ่งใคร เพราะตอนสมัยหลวงปู่ท่านยังอยู่ ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดือดร้อนด้วยเรื่องอันใดก็จะได้หลวงปู่เป็นที่พึ่งปัดเป่าทุกข์ร้อนต่างๆ ให้สิ้นไป ต่อจากนี้ไปจะหันหาไปพึ่งใครได้อีกเล่า ยิ่งทำให้บรรยากาศในบริเวณวัดวังเวงยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปทราบข่าวคราว ต่างก็พากันมาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อย่างเนืองแน่นจากทุกสารทิศเพื่อกราบนมัสการสรีระและบำเพ็ญกุศล ถวายแด่ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
ตั้งแต่เช้าจรดค่ำคืน ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บ้างต้องจอดรถยนต์เดินกันเป็นระยะทาง ๒ - ๓กิโลเมตร ในระหว่างงานมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือ หาใช่เพียงแต่ผู้คนไม่ที่มานมัสการสรีระของหลวงปู่ แม้แต่เต่าที่ท่านได้เคยเลี้ยงและได้ปล่อยไปแล้ว ยังกลับมาที่วัด เสมือนว่ามันจะทราบว่าหลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว ในวันที่เต่าปรากฏนั้นเกิดพายุหมุนเล่นเอาสังกะสีหลังคาโรงที่สร้างเอาไว้สำหรับรองรับคนที่มาฟังเทศน์ ฟังการสวดพระอภิธรรม กระจัดกระจาย สังกะสีปลิวว่อน แต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด เต่าตัวนี้มีขนาดประมาณ ๑๕ - ๒๐ นิ้วเห็นจะได้ เมื่อมาถึงที่ศาลา มีคนอุ้มเอาขึ้นไปวางไว้ตรงหน้าหีบศพของหลวงปู่ เมื่อวางเสร็จเต่าตัวนี้ก็ทำหัวผงกๆ จากนั้นก็นั่ง มีคนเห็นเต่าน้ำตาไหล อาบแก้มทั้งสอง ข่าวนี้กระจายไปทั่วเมืองชุมพร คนก็เลยมาดูเต่ากันมากขึ้น
สิ่งที่น่าประหลาด คือ เมื่อนำเต่าออกมาถ่ายรูป หรือจะนำออกมาวางในลักษณะใดก็ตาม พอวางเสร็จสักครู่ เต่าก็จะหันหัว กลับไปที่หีบศพทุกครั้ง แล้วกลับไปนอนนิ่งใต้หีบศพของหลวงปู่ ความแปลกยังมีอีก จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ จากจำนวนเต่า ๑ ตัว แรก กลายเป็น ๙ ตัว เพราะมีเต่าเพิ่มมาอีก บางตัวมาปรากฏอยู่หน้าลานวัด บางตัวชาวบ้านจับเอา มาส่งที่วัด เพราะ เขาเล่าว่าตอนขณะที่พวกเขาจะเดินทางมานมัสการหลวงปู่ เต่าได้ออกมาขวางหน้ารถ คล้ายกับว่าจะให้พามันมานมัสการหลวงปู่ด้วยนั่นเอง ที่เป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่า เมื่อตอนหลวงปู่ยังอยู่นั้น หากชาวบ้านพบเต่าคลานอยู่หรือว่าจับได้ ก็จะนำมาถวายหลวงปู่ที่วัด ท่านก็จะเอาสีเขียนทาลงไป เขียนชื่อท่านบ้าง เขียนชื่อวัดบ้าง บางตัวก็จะมีอักขระขอม เป็นที่รู้กันว่านี่คือเต่าของหลวงปู่ เป็นเต่าพันธุ์เต่าหก มีลักษณะ ๖ ขา เป็นเต่าพันธุ์เฉพาะถิ่นในแถบเมืองชุมพรนี้ บางตัวหากจะยกต้องให้ผู้ชายกำลังดีๆ ถึง ๔ คนจึงจะยกได้
มีเรื่องแปลกอีกว่า หลวงปู่ไปเข้าฝันชายคนหนึ่งแถวบ้านสามแก้วว่าให้ไปช่วยลูกของท่านที่ตกบ่อด้วย ชายคนนั้นไปดูตามบ่อต่างๆ ก็พบเต่ากำลังตะเกียกตะกาย จะขึ้นจากบ่อมาให้ได้ เขาก็ช่วยมาจากบ่อ พอดูที่กระดองเต่าก็เห็นอักษรเขียนว่า ว.ศ.ล. คือ เป็นตัวย่อของวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั่นเอง ก็เลยนำมาที่วัด มีชาวบ้านที่ได้มานมัสการหลวงปู่ เมื่อมาพบเห็นเต่าก็นำไปตีเป็นตัวเลข นำไปแทงหวย ในงวดวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ถูกกันเกือบทั้งเมืองชุมพร ข่าวเรื่องเต่าของหลวงปู่เป็นที่เกรียวกราวมากในจังหวัดชุมพร
หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร
ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย นี้ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๒ จนถึง วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ ตรงกับแรม ๙ ค่ำ เดือน ๘ ปีกุน เวลา ประมาณ ๑๐.๐๐ น. เศษๆ ท่านก็ได้มรณภาพ รวมสิริอายุได้ ๙๔ ปี ๓ เดือน ๒ วัน รวมท่านอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยเป็นเวลา ๖๔ ปี ทางศิษยานุศิษย์ ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่ ตั้งแต่วัน ๒ - ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และได้ทำพิธีปิดศพในคืนวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ หลังจากนั้นทุกๆ คืนจะมีการสวดพระอภิธรรมโดยพระภิกษุภายในวัด และโดยเฉพาะในวันอังคาร ซึ่งกับวันคล้ายวันเกิด และวันมรณภาพ ของหลวงปู่ท่าน จะมีการสวดพิเศษคือ การสวดในบท อนัตตลักขณสูตร และอาทิตตปริยายสูตร สลับกันไปทุกๆ วันอังคาร ของแต่ละสัปดาห์ และจะมีการสวดครบรอบวันมรณภาพในแต่ละปี โดยตรงกับ วันที่ ๒ สิงหาคม ของทุกๆ ปี จะมีการนิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ในจังหวัดชุมพร มาสวดเป็นประจำทุกๆ ปี
ปัจจุบัน สรีระของหลวงปู่ได้ประดิษฐานอยู่ บนศาลาธรรมสังเวช เพี่อให้พุทธศาสนิกชนและศิษยานุศิษย์ได้กราบสักการบูชาตลอดไป
คำให้พรของหลวงปู่ที่ได้ยินบ่อยครั้ง จงบังเกิดมีแด่ญาติโยมทุกๆ ท่านเทอญ
วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ประวิติ พ่อท่านเขียว วัดหลงบล prathaiamata
ประวิติ พ่อท่านเขียว วัดหลงบล
"หลวงปู่เขียว นะโมนมันสการพระอินทมุนี โพธิสัตโต อาราธนานังนะมามิหัง"
หลวงปู่เขียว วัดหรงบล ประวัติหลวงปู่เขียวและพระเครื่องของ "หลวงปู่เขียว" เป็นที่ต้องการอย่างมากเนื่องจากพุทธคุณของ หลวงปู่เขียว วัดหรงบน เด่นด้านคงกระพันมหาอุด
ประวัติหลวงปู่เขียว วัดหรงบล จ.นครศรีธรรมราช
หลวงปู่เขียว ถือกำเนิดขึ้นในตะกูลชาวนา เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้นแรมไม่ปรากฏ เดือนยี่ ปีมะเมีย พ.ศ.2424 บิดาชื่อนาย ปลอด มารดาชื่อแป้น มีพี่น้อง 4คน ชาย2หญิง2 หลวงปู่เขียวเป็นพี่ชาวคนโต น้องชายชื่อนายพลับ น้องสาวชื่อนางเอียด และนางปาน น้องชายและน้องสาวเสียชีวิตก่อนท่าน
การศึกษา
เมื่อยังเยาว์วัย หลวงปู่เขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ
อุปสมบท
พ่อท่านเขียว วัดหรงบน ท่านตัดสินใจสละเพศฆราวาส เข้าสู่วัดเมื่ออายุได้ 22ปี อุปสมบท ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ.2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี"ได้ปรนนิบัติรับใช้ รับฟังโอวาทจากพระอุปัชฌายะชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น หลวงปู่เขียว ก็กราบลาพระอุปัชฌายะ ไปศึกษาเล่าเรียนต่อกับพระอาจารย์เอียด วัดบน พระอาจารย์เอียดเก่งทั้งทางโลก และทางธรรม อบรมนิสัยให้เหมาะแก่สมณเพศ จนท่านตั้งใจว่า ขอถือบวชอยู่ในพุทธศาสนาตลอดไป หาทางพ้นทุกข์ตัดอาสวะกิเลสให้สิ้น หลวงปู่เขียวท่านตัดสินใจเดินธุดงค์เป็นวัตร คือ ถือผ้านุ่งห่มบังสกุล 3ชิ้น มีผ้าสบง อังสะ จีวร บิณฑบาตร และฉันอาหารมื้อเดียว(เอกา)เป็นวัตร จึงกราบลาอาจารย์เดินธุดงค์สู่ป่าเขาลำเนาไพร หลวงปู่เขียวเดินธุดงค์ติดต่อกันหลายปี ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรังสุราษฎร์ธานี ชุมพร สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ภูเก็ต พังงา และจังหวัดอื่นๆอีกหลายแห่ง
หลวงปู่เขียว วัดหรงบล
วัตถุมงคล พระเครื่องหลวงปู่เขียว
ในปี พ.ศ.2467 หลวงปู่เขียวอายุได้ 53 ปีพอดี ท่านพระครูพิบูลย์ศีลาจารย์(เกลื่อม)เจ้าคณะ ต.บางตะพง อ.ปากพนัง ปกครองวัดกลาง(คงคาวดี)ศรัทธาต่อหลวงปู่เขียว ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านเอง ต้องการได้ของดีของอาจารย์เป็นที่ระลึก จึงหาผ้าขาวมา หาขมิ้นผงมาผสมน้ำทาใต้เท้า ใต้มือท่านแล้ว นิมนต์ท่านอฐิษญานจิตกดเป็นผ้ายันต์แต่ไม่ค่อยชัดนัก ต่อมามีผู้ต้องการมากขึ้น จึงคิดหาหมึกจีนเป็นแท่งมาฝนกับฝาละมีทาเท้าบ้าง ทามือบ้าง ให้หลวงปู่อธิษฐานจิตกดลงบนผ้าขาวเป็นผ้ายันต์ ปรากฏว่าชัดเจนสวยงามดี นับว่าผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าหลวงปู่เขียวปรากฏแพร่หลายขึ้นเป็นครั้งแรกในภาคใต้ เมื่อมีผู้ศรัทธามาขึ้นจึงแพร่หลายบอกต่อกันไป มีประชาชนมาขอลูกอมท่านบ้าง หลวงปู่เขียวท่านเคี้ยวชานหมากเสร็จคลึงเป็นลูกอมแล้วมอบให้ บางคนท่านก็เอากระดาษฟางมาลงอักขระเป็นตัวหนังสือขอม หัวใจพระเจ้า 5พระองค์ นะโมพุทธายะ เสร็จแล้วเอาเทียนสีผึ้งห่อหุ้มปั้นเป็นลูกอม หลวงปู่เขียวเป็นพระใจดี พูดน้อยใครขออะไรท่านก็จะทำให้ตามความต้องการแต่ละคน
วัตถุมงคลที่หลวงปู่เขียว ท่านสร้างมีหลายอย่าง เช่น ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาด ลูกอมเทียน ชานหมาก พระปิดตา เหรียญพ่อท่านเขียวรุ่นต่างๆ และรูปหล่อลอยองค์ พระเครื่องหลวงปู่เขียว เป็นที่ต้องการกันมาก
รูปหล่อบูชาหลวงปู่เขียว วัดหรงบล
ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าพ่อท่านเขียว วัดหรงบน ริมผ้ามีรอยจาร
พุทธคุณวัตถุมงคลหลวงปู่เขียว
วัตถุมงคล และพระเครื่องของหลวงปู่เขียว ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ด้านปกป้องคุ้มครองสูงมาก พระเครื่องพ่อท่านเขียว วัดหรงบนเช่นผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าผู้ที่โดนโจรปล้นวัวเกิดต่อสู้กัน เจ้าของวัวพกผ้ายันต์ท่าน กระสุนก็ไม่อาจทำอะไรคนที่พกผ้ายันต์ท่านได้ ซึ่งพุทธคุณพระเครื่องที่ท่านปลุกเสกนั้น โด่งดังไปไกลทั่วประเทศเป็นที่เล่าขานสืบต่อมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าด้านคงกระพัน มหาอุด หรือเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ถือว่า หลวงปู่เขียว วัดหรงบล เป็นสุดยอดเกจิอันดับต้นๆของภาคใต้
มรณภาพ
"หลวงปู่เขียว" ท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ.2519 ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 1ค่ำ เดือน 7 ด้วยโรคชราตามสังขารอายุ รวมได้ 95ปี 74 พรรษา
ความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงปู่เขียว วัดหรงบล อีกอย่างหนึ่งที่เกือบทุกคนรู้กันดีทั่วบ้านทั่วเมือง ก็คือหลังจากหลวงปู่เขียวท่านมรณภาพแล้ว ทางวัดได้เก็บรักษาสรีระของหลวงปู่ไว้ระยะหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า สรีระร่างกายของหลวงปู่เขียวท่านไม่เน่าเปื่อย และไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด และเมื่อถึงวันครบกำหนดประชุมเพลิง สรีระของท่านเผาไฟไม่ไหม้ แม้แต่ จีวร ที่ห่อหุ้ม สร้างความมหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ปัจจุบัน สรีระร่างอันอมตะของ หลวงปู่เขียว ก็ยังประดิษฐานอยู่ในหีบแก้วที่วัดหรงบน ทุกวันนี้จะมีผู้คนไปกราบไหว้สักการบูชาอยู่เป็นประจำ
"หลวงปู่เขียว นะโมนมันสการพระอินทมุนี โพธิสัตโต อาราธนานังนะมามิหัง"
หลวงปู่เขียว วัดหรงบล ประวัติหลวงปู่เขียวและพระเครื่องของ "หลวงปู่เขียว" เป็นที่ต้องการอย่างมากเนื่องจากพุทธคุณของ หลวงปู่เขียว วัดหรงบน เด่นด้านคงกระพันมหาอุด
ประวัติหลวงปู่เขียว วัดหรงบล จ.นครศรีธรรมราช
หลวงปู่เขียว ถือกำเนิดขึ้นในตะกูลชาวนา เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้นแรมไม่ปรากฏ เดือนยี่ ปีมะเมีย พ.ศ.2424 บิดาชื่อนาย ปลอด มารดาชื่อแป้น มีพี่น้อง 4คน ชาย2หญิง2 หลวงปู่เขียวเป็นพี่ชาวคนโต น้องชายชื่อนายพลับ น้องสาวชื่อนางเอียด และนางปาน น้องชายและน้องสาวเสียชีวิตก่อนท่าน
การศึกษา
เมื่อยังเยาว์วัย หลวงปู่เขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ
อุปสมบท
พ่อท่านเขียว วัดหรงบน ท่านตัดสินใจสละเพศฆราวาส เข้าสู่วัดเมื่ออายุได้ 22ปี อุปสมบท ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ.2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี"ได้ปรนนิบัติรับใช้ รับฟังโอวาทจากพระอุปัชฌายะชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น หลวงปู่เขียว ก็กราบลาพระอุปัชฌายะ ไปศึกษาเล่าเรียนต่อกับพระอาจารย์เอียด วัดบน พระอาจารย์เอียดเก่งทั้งทางโลก และทางธรรม อบรมนิสัยให้เหมาะแก่สมณเพศ จนท่านตั้งใจว่า ขอถือบวชอยู่ในพุทธศาสนาตลอดไป หาทางพ้นทุกข์ตัดอาสวะกิเลสให้สิ้น หลวงปู่เขียวท่านตัดสินใจเดินธุดงค์เป็นวัตร คือ ถือผ้านุ่งห่มบังสกุล 3ชิ้น มีผ้าสบง อังสะ จีวร บิณฑบาตร และฉันอาหารมื้อเดียว(เอกา)เป็นวัตร จึงกราบลาอาจารย์เดินธุดงค์สู่ป่าเขาลำเนาไพร หลวงปู่เขียวเดินธุดงค์ติดต่อกันหลายปี ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรังสุราษฎร์ธานี ชุมพร สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ภูเก็ต พังงา และจังหวัดอื่นๆอีกหลายแห่ง
หลวงปู่เขียว วัดหรงบล
วัตถุมงคล พระเครื่องหลวงปู่เขียว
ในปี พ.ศ.2467 หลวงปู่เขียวอายุได้ 53 ปีพอดี ท่านพระครูพิบูลย์ศีลาจารย์(เกลื่อม)เจ้าคณะ ต.บางตะพง อ.ปากพนัง ปกครองวัดกลาง(คงคาวดี)ศรัทธาต่อหลวงปู่เขียว ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านเอง ต้องการได้ของดีของอาจารย์เป็นที่ระลึก จึงหาผ้าขาวมา หาขมิ้นผงมาผสมน้ำทาใต้เท้า ใต้มือท่านแล้ว นิมนต์ท่านอฐิษญานจิตกดเป็นผ้ายันต์แต่ไม่ค่อยชัดนัก ต่อมามีผู้ต้องการมากขึ้น จึงคิดหาหมึกจีนเป็นแท่งมาฝนกับฝาละมีทาเท้าบ้าง ทามือบ้าง ให้หลวงปู่อธิษฐานจิตกดลงบนผ้าขาวเป็นผ้ายันต์ ปรากฏว่าชัดเจนสวยงามดี นับว่าผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าหลวงปู่เขียวปรากฏแพร่หลายขึ้นเป็นครั้งแรกในภาคใต้ เมื่อมีผู้ศรัทธามาขึ้นจึงแพร่หลายบอกต่อกันไป มีประชาชนมาขอลูกอมท่านบ้าง หลวงปู่เขียวท่านเคี้ยวชานหมากเสร็จคลึงเป็นลูกอมแล้วมอบให้ บางคนท่านก็เอากระดาษฟางมาลงอักขระเป็นตัวหนังสือขอม หัวใจพระเจ้า 5พระองค์ นะโมพุทธายะ เสร็จแล้วเอาเทียนสีผึ้งห่อหุ้มปั้นเป็นลูกอม หลวงปู่เขียวเป็นพระใจดี พูดน้อยใครขออะไรท่านก็จะทำให้ตามความต้องการแต่ละคน
วัตถุมงคลที่หลวงปู่เขียว ท่านสร้างมีหลายอย่าง เช่น ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาด ลูกอมเทียน ชานหมาก พระปิดตา เหรียญพ่อท่านเขียวรุ่นต่างๆ และรูปหล่อลอยองค์ พระเครื่องหลวงปู่เขียว เป็นที่ต้องการกันมาก
รูปหล่อบูชาหลวงปู่เขียว วัดหรงบล
ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าพ่อท่านเขียว วัดหรงบน ริมผ้ามีรอยจาร
พุทธคุณวัตถุมงคลหลวงปู่เขียว
วัตถุมงคล และพระเครื่องของหลวงปู่เขียว ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ด้านปกป้องคุ้มครองสูงมาก พระเครื่องพ่อท่านเขียว วัดหรงบนเช่นผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าผู้ที่โดนโจรปล้นวัวเกิดต่อสู้กัน เจ้าของวัวพกผ้ายันต์ท่าน กระสุนก็ไม่อาจทำอะไรคนที่พกผ้ายันต์ท่านได้ ซึ่งพุทธคุณพระเครื่องที่ท่านปลุกเสกนั้น โด่งดังไปไกลทั่วประเทศเป็นที่เล่าขานสืบต่อมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าด้านคงกระพัน มหาอุด หรือเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ถือว่า หลวงปู่เขียว วัดหรงบล เป็นสุดยอดเกจิอันดับต้นๆของภาคใต้
มรณภาพ
"หลวงปู่เขียว" ท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ.2519 ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 1ค่ำ เดือน 7 ด้วยโรคชราตามสังขารอายุ รวมได้ 95ปี 74 พรรษา
ความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงปู่เขียว วัดหรงบล อีกอย่างหนึ่งที่เกือบทุกคนรู้กันดีทั่วบ้านทั่วเมือง ก็คือหลังจากหลวงปู่เขียวท่านมรณภาพแล้ว ทางวัดได้เก็บรักษาสรีระของหลวงปู่ไว้ระยะหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า สรีระร่างกายของหลวงปู่เขียวท่านไม่เน่าเปื่อย และไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด และเมื่อถึงวันครบกำหนดประชุมเพลิง สรีระของท่านเผาไฟไม่ไหม้ แม้แต่ จีวร ที่ห่อหุ้ม สร้างความมหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ปัจจุบัน สรีระร่างอันอมตะของ หลวงปู่เขียว ก็ยังประดิษฐานอยู่ในหีบแก้วที่วัดหรงบน ทุกวันนี้จะมีผู้คนไปกราบไหว้สักการบูชาอยู่เป็นประจำ
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ประวัติ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน prathaiamata
ประวัติ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน
พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน วัดพระธาตุน้อย พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือ
ที่รู้จักกันทั่วไปว่า
"พ่อท่านคล้าย" วาจาสิทธิ์ เทวดาเมืองคอน
เทพเจ้าแห่งแดนใต้
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์" นามตามสมณศักดิ์ท่านคือ พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช พ่อท่านคล้าย นามเดิมว่า "คล้าย สีนิล" เกิดตรงกับวันอังคาร ที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2419 ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด จ.ศ.1238 ร.ศ.95 ที่บ้านโคกทือ หมู่ที่ 10 ตำบลหลักช้าง อำเภอฉวาง (ปัจจุบันคืออำเภอช้างกลาง) จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอินทร์ นางเหนี่ยว สีนิล มีพี่สาว 1 คน ชื่อนางเพ็งเป็นภรรยานายซ้าย เพ็ชรฤทธิ์ ไม่มีบุตรสืบสกุลแต่มีบุตรบุญธรรมหนึ่งคน ชื่อนายครื้น เพ็ชรฤทธิ์
การศึกษาเบื้องต้น
เมื่อพ่อท่านอายุประมาณ 10 ขวบ พอจะเรียนอักษรสมัยตามประเพณีในสมัยนั้น บิดาก็เริ่มให้เรียนหนังสือ โดยบิดาเป็นผู้สอนเองที่บ้าน พ่อท่านได้เรียนจนชำนิชำนาญทั้งอักษรไทยและขอมอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี เมื่ออายุประมาณ 13 ขวบบิดาของท่านก็ได้นำไปฝากให้เรียนวิชาเลขในสำนักของนายขำไม่ทราบนามสกุล อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งปอน (จันดี) บ้านโคกทือ เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้วก็ได้อยู่ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพโดยสุจริตสืบมาต่อมาได้ไปฝึกหัดเล่นหนังตะลุงกับนายทองสาก ประกอบกับพ่อท่านคล้ายมีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ จึงมีคนติดใจการเล่นหนังตะลุงของท่านมาก
เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพ่อท่าน
พ่อท่านคล้าย มีลักษณะนิสัย เป็นคนมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาและครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด สุภาพ เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย นิสัยอ่อนโยนละมุนละไม จึงเป็นที่รักของบิดามารดา ครูอาจารย์และญาติมิตรเป็นอันมาก เมื่ออายุ 15 ปี พ่อท่านคล้าย ประสบอุบัติเหตุในการถางป่าทำไร่ที่ จ.กระบี่ กระดูกปลายเท้า สามนิ้วแตกละเอียด รักษาไม่หาย ด้วยกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว พ่อท่านคล้ายได้ใช้มีดปาดตาลตัดปลายเท้าออกด้วยตัวเอง และใช้ยาพอกจนหายเป็นปกติ
การบรรพชาอุปสมบท
พ่อท่านคล้าย ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2438 (อายุ 19 ปี) บรรพชาที่วัดจันดี ตำบลหลักช้าง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช บรรพชาโดยอาจารย์ พระอธิการจันเจ้าอาวาสวัดจันดี (ทุ่งปอน) แต่ผู้เฒ่าบางท่านเล่าให้ฟังว่าพระอุปัชฌาย์กรายให้บรรพชา พ่อท่านเป็นสามเณรแล้วพูดว่า สามเณรคล้ายเจ้ามีวัตถุวิบัติทางพระวินัย แต่ไม่ร้ายแรงอะไรมากนักยังพอที่จะให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ ฉันขอให้เจ้าท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้ก่อนจึงจะทำพิธีอุปสมบทให้
ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2439 สามเณรคล้ายพร้อมด้วยสามเณรย้อย (นายย้อย รุ่งเรือง บ้านวัวหลุน) ได้เดินทางจากวัดทุ่งปอนมายังวัดวังม่วงโดยมีช้างเป็นพาหนะ ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2439 เวลา 13.00 น. ได้อุปสมบท ณ อุทกุกเขปสีมา (ศาลาน้ำ) วัดวังม่วง หมู่ที่ 2 ตำบลฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพระครูกราย คงฺคสุวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดหาดสูง เจ้าคณะอำเภอฉวาง เป็นพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์สังข์ สิริรตโน เจ้าอาวาสวัดไม้เรียง เป็น พระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ล้อม ถิรโชโต (นายล้อม ธรทฤธิ์ ครูสอนหนังสือไทยคนแรก แห่งอำเภอฉวาง) วัดวังม่วงเป็นอาจารย์ผู้ให้สรณคมและศีลก่อนจะทำพิธีอุปสมบท ได้รับฉายาว่า จนฺทสุวณฺโณ แล้วได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดทุ่งปอน หรือวัดจันดี
การศึกษาขณะเป็นพระ
ปี พ.ศ.2441 พ่อท่านคล้าย ได้เข้าศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เรียนมูลกัจจายนะ ในสำนักพระครูกาแก้ว (ศรี) ณ วัดหน้าพระธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบหลักสูตรมูล พอแปลบาลีได้ ศึกษาอยู่เป็นเวลา 2 พรรษา
ปี พ.ศ.2443 ต่อมาได้ศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนูเจ้าอาวาสเป็นผู้สอน
ปี พ.ศ.2445 พ่อท่านคล้าย ได้กลับมาอยู่จำพรรษาวัดหาดสูง ใกล้ตลาดทานพอ ในสำนักพระครูกราย ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพ่อท่าน เพื่อศึกษาวิปัสสนาและไสยศาสตร์ โดยเหตุที่ พระครูกราย เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาและทรงวิชาคุณทางไสยศาสตร์ในสมัยนั้น
ปี พ.ศ.2447 พ่อท่านคล้าย ได้ไปจำพรรษาที่วัดมะขามเฒ่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลาเพื่อศึกษาภาลีและอภิธรรมเพิ่มเติม
ปีพ.ศ.2448 พ่อท่านกลับจากวัดมะขามเฒ่า มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งปอน (จันดี) ตลอดเวลาที่ท่านจำพรรษา ณ ที่ใดก็ตาม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าภาษา บาลี วิชาโหราศาสตร์ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ติดต่อกันมาโดยมิได้ประมาท ด้านการก่อสร้างก็ได้สร้างไว้ตามวัดต่างๆพอสมควร
พ่อท่านคล้าย เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน
ในปี พ.ศ.2448 พระปลัดคง เจ้าอาวาสวัดสวนขัน ลาสิกขาบท คณะอุบาสกอุบาสิกาของวัดสวนขัน ได้ร่วนกันเสนอไปยัง ท่านพระครูกรายเจ้าคณะแขวงฉวาง ขอแต่งตั้ง "พ่อท่านคล้าย"เป็นเจ้าอาวาส วัดสวนขันแทน ท่านพระครูกรายก็เสนอไปยังเจ้าคณะเมือง (ม่วง เปรียญ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระศิริธรรมมุนี เจ้าคณะเมือง ได้แต่งตั้งให้พ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันแต่นั้นมา
ประวัติวัดสวนขัน
วัดสวนขันเป็นวัดราษฎร์ เดิมตั้งอยู่ที่ วัดราษฎร์บำรุง ปัจจุบันชาวบ้านเรียกวัดคุดด้วน เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งคลองคุดด้วน มีพระปลัดคงเป็นเจ้าอาวาส แต่ที่ตั้งเป็นที่ไม่เหมาะบางประการ เนื่องจากฤดูน้ำก็ถูกน้ำท่วมบ่อยๆและสถานที่คับแคบ จึงทำการย้ายวัดขึ้นไปทางเหนือของคลองคุดด้วน สร้างวัดขึ้นมาใหม่ในป่าไม้ขันอันเป็นที่สวนของอุบาสกผู้มีศรัทธาถวายให้วัด และพร้อมใจกันตั้งชื่อวัดว่า วัดสวนขัน
วัดสวนขันปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลสวนขัน อำเภอช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช พระปลัดคงได้เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระปลัดคงเป็นลูกศิษย์ของพระครูกราย ต่อมาลาสิกขาบทพระครูกรายเสนอพ่อท่านคล้ายให้เป็นพ่อท่านคล้าย ตลอดมาเป็นเวลา 65 ปี จนถึงวันมรณภาพ
พ่อท่านคล้ายมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง เช่น เป็นนักก่อสร้าง นักประพันธ์ นักปฏิบัติทางวิปัสสนา เป็นต้น ทางด้านนักประพันธ์นั้น พ่อท่านเคยแต่งบทกลอนกำดัดนาคไว้ น่าฟัง ดังนี้
ศีลสิบโดยตั้ง รักษาโดยหวัง
องค์ศีลทั่วผอง สองร้อยยี่สิบเจ็ด
สิ้นเสร็จควรตรอง ศีลสิบหม่นหมองสองร้อยมรณา
สมณศักดิ์พ่อท่านคล้าย
ได้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี พ.ศ.2498 ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม แต่ประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามชื่อเดิมว่า พ่อท่านคล้าย
ตำแหน่ง
ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. 2445 จนมรณภาพ
เป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย ใน พ.ศ.2500 เนื่องจากมีการสร้างถนนผ่านกลางวัดจันดีหรือวัดทุ่งปอน ทำให้วัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนได้ประชุมตกลงสร้างวัดใหม่ในเนื้อที่ที่แยกออกไป เรียกว่า วัดพระธาตุน้อย และแต่งตั้งให้พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นเจ้าอาวาส เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว วัดนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว
งานด้านศาสนา
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์ พระพุทธรูป และร่วมกันในการปฏิสังขรณ์บูรณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก เช่น พ.ศ. 2490 สร้างวัดมะปรางงาม ตำบลละอาย อำเภอฉวาง พ.ศ. 2500 สร้างวัดพิศิษฐ์อรรถราม โดยทายาทอึ่งค่ายท่ายถวายที่ดินใกล้ตลาดนาบอน และวัดที่สำคัญที่สุดคือวัดพระธาตุน้อย หรือคนทั่วไปเรียกว่า วัดพ่อท่านคล้าย
พ่อท่านคล้ายได้สร้างพระเจดีย์ไว้หลายองค์ ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขัน เจดีย์บ้านควนสวรรค์ ตำบลนาแว อำเภอฉวาง เจดีย์วัดยางค้อม อำเภอปูน และที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขันอำเภอพระแสง และเจดีย์หน้าถ้ำขมิ้น บนภูเขาอำเภอนาสาร
พ่อท่านคล้าย สร้างวัดพระธาตุน้อยและเจดีย์
ปี พ.ศ.2505 นายกลับ งามพร้อม อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง ได้ยกที่ดินโคกไม้แดง มีเนื้อที่ 40 ไร่ ถวายพ่อท่านโดยมอบให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ที่ดินแปลงนี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟคลองจันดี ประมาณ 1 กิโลเมตร พระครูพิศิษฐ์อรรถการได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้นในที่ดินแปลงนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อ 14 มกราคม 2505 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่นายประคอง ช่วยเพ็ชร ถวายมาจากกว๊านพะเยา (ปัจจุบันเป็นจังหวัดพะเยา) โดยยึดรูปแบบมาจากวัดพระมหาธาตุทั้งหมด ทุนรอนในการก่อสร้างได้มาจาก พ่อค้า คหบดี ข้าราชการ และประชาชน ฝ่ายสงฆ์มีพระใบฏีกาครื้น โสภโณ เจ้าอาวาสวัดจันดีในสมัยนั้น เป็นผู้อำนวยการสร้าง ฝ่ายฆราวาสมี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช เป็นประธาน พระเจดีย์องค์นี้มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 27 เมตร สูง 70 เมตร การก่อสร้างสำเร็จในปี พ.ศ. 2513 องค์พระเจดีย์ มองเห็นเด่นแต่ไกล ถ้านั่งรถไฟเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ก่อนขบวนรถจะถึงสถานีคลองจันดี จะมองเห็นพระเจดีย์อยู่ทางซ้ายมือ
งานด้านพัฒนาท้องถิ่น
พ่อท่านคล้าย จัดได้ว่าเป็นนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ตลอดชีวิต ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ได้เดินทางไปพัฒนาในที่ต่าง ๆ มากมาย สร้างถนน สะพานมากมาย ด้วยเมตตาบารมีและความเคารพศรัทธาของศิษย์และประชาชน ดังเช่น สร้างถนนเข้าวัดจันดี ถนนจากตำบลละอายไปพิปูน ถนนจากวัดสวนขันไปยังสถานีรถไฟคลองจันดี ถนนจากตำบลละอายไปนาแว ถนนระหว่างหมู่บ้านในตำบลละอาย สะพานข้ามคลองคุดด้วนเข้าวัดสวนขัน สะพานข้ามแม่น้ำตาปีจากตลาดทานพอไปนาแว สะพานข้ามคลองเสหลา หน้าวัดมะปรางงาม สะพานข้ามคลองจันดี เป็นต้น
ด้านความมีเมตตาและวาจาสิทธิ์
ศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือ ศรัทธาพ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น พ่อท่านคล้ายจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและแจ่มใสอารมณ์เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา ท่านมักจะให้พรกับทุกคน "ขอให้เป็นสุข เป็นสุข" ผู้ที่เคารพนับถือท่านต่างพากันกลัวคำตำหนิ เพราะผู้ที่ถูกตำหนิทุกรายล้วนแต่พบความวิบัติ คนส่วนมากจึงหวังที่จะได้รับคำอวยพร เพราะคำเหล่านั้นเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำทั้งในทางดีและทางเสื่อมเสีย
คนที่ไปนมัสการ "พ่อท่านคล้าย" หวังที่จะได้วัตถุมงคล บ้างขอน้ำมนต์ ชานหมาก แหวน ผ้ายันต์ เหรียญ รูปหล่อ รูปพิมพ์ ซึ่งพ่อท่านคล้ายก็ได้มีเมตตาให้กับทุกคน ยิ่งชานหมากของท่านหากใครได้รับจากมือท่านเป็นต้องหวงแหนอย่างที่สุด
จุดเด่นของพ่อท่าน
1. วัยวุฒิ พ่อท่านอายุยืนถึง 76 พรรษา แม้พระสังฆราชวัดสระเกศ
( อยู่ ญาโณทยฺ ) ก็ทรงเล่าให้ผู้อื่นฟังว่า เมื่อพูดถึงหลวงพ่อคล้ายแล้ว ท่านไม่ใช่คนธรรมดา
อาจเป็นเทวดาก็ได้
2. คุณวุฒิ ท่านมีคุณธรรมหรือเรียกว่า อริยทรัพย์ภายในตัวของท่าน
3. ปัญญาวุฒิ ท่านเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ทันคน
พระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนานิมนต์เข้าพระราชวัง
กิตติศัพท์ทางคุณงามความดีของพ่อท่านคล้ายทรงทราบถึงในหลวงรัชกาลปัจจุบันทรงมีความสนพระทัยและศรัทธาจึงทรงพระกรุณาให้นิมนต์พ่อท่านคล้ายเข้ารับพระราชทานภัทรกิจในพระราชวังสวนจิตรลดา
เมื่อพ่อท่านคล้ายกลับวัดลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันไปกราบที่บนกุฏิเพื่อให้ท่านเล่าให้ฟัง ท่านลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เจ้าพนักงานนำท่านเข้าไปนั่งรอภายในห้องต้อนรับ ขณะที่รอในหลวงเสด็จออกท่านว่า “หัวใจมันเต้นแรงเหมือนนั่งอยู่ปากถ้ำพระยาราชสีย์ยังไงยังงั้น” เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ก้มกราบทำให้อิ่มใจพองคับอก ชื่นชมในพระบารมี ช่างงดงามเป็นสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก ในหลวงทรงสนทนาไต่ถาม โดยมีพระปลัดสุพจน์คอยชี้แจงถวายระหว่างสำเนียงปักษ์ใต้กับภาษากลาง จนในที่สุดในหลวงทรงก้มพระเศียรเข้าใกล้พ่อท่านคล้ายด้วยพระราชประสงค์ให้ท่านรดน้ำมนต์ พรมพระเศียรให้พร ด้วยทรงพระราชศรัทธาเคารพ ถึงตรงนี้พ่อท่านคล้ายพูดว่า “กูขนพองไปหมด พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงกฤดาภินิหาร ครองบ้านครองเมือง จะมาก้มให้พระป่าสามัญลูบพระเศียรได้ ท่านเป็นเทวดาของปวงชน” ท่านเลยทูลว่า “มหาบพิตรได้ทรงโปรดยื่นพระหัตถ์มาเถิด” ในหลวงทรงเงยพระพักตร์ยิ้มและทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองให้พ่อท่านคล้ายจับขึ้นเสมออกอธิษฐานพระชัยมนต์คาถาถวาย แล้วรดน้ำมนต์ใส่ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์เอง พร้อมถวายพระพรตลอดเวลา ในหลวงทรงอิ่มเอิบปลาบปลื้มพระราชหฤทัยและทรงปวารณาทรงรับอุปัฏฐากเป็นส่วนพระองค์
ครั้นลูกศิษย์ถามท่านว่า “พ่อท่านถวายของดีอะไรหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “ไม่ให้เทวดาผู้เป็นยอดคนแล้ว จะให้ใครเล่า” และกล่าวอีกว่า “ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์”
พ่อท่านคล้าย มรณภาพ
พ่อท่านคล้ายหรือพระครูพิศิษฐ์อรรถการ เมื่อครั้นถึงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2513 ตรงกับแรม 9 ค่ำ เดือน 12 ปีจอ พ่อท่านจะต้องเดินทางไปจังหวัดสุรินทร์ เนื่องในงานพุทธาภิเษกที่คณะพุทธบริษัทจังหวัดนั้นนิมนต์ไว้ เวลา 16.00 น. ของวันเดินทาง คณะศิษย์เป็นว่าพ่อท่านอาพาธกะทันหัน จึงนิมนต์พ่อท่านขึ้นรถด่วนเข้ากรุงเทพ ถึงวันรุ่งขึ้นได้นำพ่อท่านเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎในวันนั้น แพทย์ได้พยายามรักษาจนเต็มความสามารถ เป็นเวลา 14 วัน อาการมีแต่ทรงกับทรุด ครั้นถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2513 เวลา 23.05 น. พ่อท่านคล้าย มรณภาพด้วยอาการสงบ รวมอายุได้ 96 ปี เมื่อบำเพ็ญกุศลครบ 100 วัน จึงได้บรรจุสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ใน วัดพระธาตุน้อยจนถึงปัจจุบัน
พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน วัดพระธาตุน้อย พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือ
ที่รู้จักกันทั่วไปว่า
"พ่อท่านคล้าย" วาจาสิทธิ์ เทวดาเมืองคอน
เทพเจ้าแห่งแดนใต้
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์" นามตามสมณศักดิ์ท่านคือ พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช พ่อท่านคล้าย นามเดิมว่า "คล้าย สีนิล" เกิดตรงกับวันอังคาร ที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2419 ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด จ.ศ.1238 ร.ศ.95 ที่บ้านโคกทือ หมู่ที่ 10 ตำบลหลักช้าง อำเภอฉวาง (ปัจจุบันคืออำเภอช้างกลาง) จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอินทร์ นางเหนี่ยว สีนิล มีพี่สาว 1 คน ชื่อนางเพ็งเป็นภรรยานายซ้าย เพ็ชรฤทธิ์ ไม่มีบุตรสืบสกุลแต่มีบุตรบุญธรรมหนึ่งคน ชื่อนายครื้น เพ็ชรฤทธิ์
การศึกษาเบื้องต้น
เมื่อพ่อท่านอายุประมาณ 10 ขวบ พอจะเรียนอักษรสมัยตามประเพณีในสมัยนั้น บิดาก็เริ่มให้เรียนหนังสือ โดยบิดาเป็นผู้สอนเองที่บ้าน พ่อท่านได้เรียนจนชำนิชำนาญทั้งอักษรไทยและขอมอ่านออกเขียนได้เป็นอย่างดี เมื่ออายุประมาณ 13 ขวบบิดาของท่านก็ได้นำไปฝากให้เรียนวิชาเลขในสำนักของนายขำไม่ทราบนามสกุล อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งปอน (จันดี) บ้านโคกทือ เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้วก็ได้อยู่ช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพโดยสุจริตสืบมาต่อมาได้ไปฝึกหัดเล่นหนังตะลุงกับนายทองสาก ประกอบกับพ่อท่านคล้ายมีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ จึงมีคนติดใจการเล่นหนังตะลุงของท่านมาก
เหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพ่อท่าน
พ่อท่านคล้าย มีลักษณะนิสัย เป็นคนมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาและครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด สุภาพ เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย นิสัยอ่อนโยนละมุนละไม จึงเป็นที่รักของบิดามารดา ครูอาจารย์และญาติมิตรเป็นอันมาก เมื่ออายุ 15 ปี พ่อท่านคล้าย ประสบอุบัติเหตุในการถางป่าทำไร่ที่ จ.กระบี่ กระดูกปลายเท้า สามนิ้วแตกละเอียด รักษาไม่หาย ด้วยกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว พ่อท่านคล้ายได้ใช้มีดปาดตาลตัดปลายเท้าออกด้วยตัวเอง และใช้ยาพอกจนหายเป็นปกติ
การบรรพชาอุปสมบท
พ่อท่านคล้าย ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2438 (อายุ 19 ปี) บรรพชาที่วัดจันดี ตำบลหลักช้าง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช บรรพชาโดยอาจารย์ พระอธิการจันเจ้าอาวาสวัดจันดี (ทุ่งปอน) แต่ผู้เฒ่าบางท่านเล่าให้ฟังว่าพระอุปัชฌาย์กรายให้บรรพชา พ่อท่านเป็นสามเณรแล้วพูดว่า สามเณรคล้ายเจ้ามีวัตถุวิบัติทางพระวินัย แต่ไม่ร้ายแรงอะไรมากนักยังพอที่จะให้อุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ ฉันขอให้เจ้าท่องพระปาฏิโมกข์ให้ได้ก่อนจึงจะทำพิธีอุปสมบทให้
ถึงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2439 สามเณรคล้ายพร้อมด้วยสามเณรย้อย (นายย้อย รุ่งเรือง บ้านวัวหลุน) ได้เดินทางจากวัดทุ่งปอนมายังวัดวังม่วงโดยมีช้างเป็นพาหนะ ในวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2439 เวลา 13.00 น. ได้อุปสมบท ณ อุทกุกเขปสีมา (ศาลาน้ำ) วัดวังม่วง หมู่ที่ 2 ตำบลฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพระครูกราย คงฺคสุวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดหาดสูง เจ้าคณะอำเภอฉวาง เป็นพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์สังข์ สิริรตโน เจ้าอาวาสวัดไม้เรียง เป็น พระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ล้อม ถิรโชโต (นายล้อม ธรทฤธิ์ ครูสอนหนังสือไทยคนแรก แห่งอำเภอฉวาง) วัดวังม่วงเป็นอาจารย์ผู้ให้สรณคมและศีลก่อนจะทำพิธีอุปสมบท ได้รับฉายาว่า จนฺทสุวณฺโณ แล้วได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดทุ่งปอน หรือวัดจันดี
การศึกษาขณะเป็นพระ
ปี พ.ศ.2441 พ่อท่านคล้าย ได้เข้าศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เรียนมูลกัจจายนะ ในสำนักพระครูกาแก้ว (ศรี) ณ วัดหน้าพระธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบหลักสูตรมูล พอแปลบาลีได้ ศึกษาอยู่เป็นเวลา 2 พรรษา
ปี พ.ศ.2443 ต่อมาได้ศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนูเจ้าอาวาสเป็นผู้สอน
ปี พ.ศ.2445 พ่อท่านคล้าย ได้กลับมาอยู่จำพรรษาวัดหาดสูง ใกล้ตลาดทานพอ ในสำนักพระครูกราย ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพ่อท่าน เพื่อศึกษาวิปัสสนาและไสยศาสตร์ โดยเหตุที่ พระครูกราย เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาและทรงวิชาคุณทางไสยศาสตร์ในสมัยนั้น
ปี พ.ศ.2447 พ่อท่านคล้าย ได้ไปจำพรรษาที่วัดมะขามเฒ่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลาเพื่อศึกษาภาลีและอภิธรรมเพิ่มเติม
ปีพ.ศ.2448 พ่อท่านกลับจากวัดมะขามเฒ่า มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งปอน (จันดี) ตลอดเวลาที่ท่านจำพรรษา ณ ที่ใดก็ตาม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าภาษา บาลี วิชาโหราศาสตร์ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ติดต่อกันมาโดยมิได้ประมาท ด้านการก่อสร้างก็ได้สร้างไว้ตามวัดต่างๆพอสมควร
พ่อท่านคล้าย เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน
ในปี พ.ศ.2448 พระปลัดคง เจ้าอาวาสวัดสวนขัน ลาสิกขาบท คณะอุบาสกอุบาสิกาของวัดสวนขัน ได้ร่วนกันเสนอไปยัง ท่านพระครูกรายเจ้าคณะแขวงฉวาง ขอแต่งตั้ง "พ่อท่านคล้าย"เป็นเจ้าอาวาส วัดสวนขันแทน ท่านพระครูกรายก็เสนอไปยังเจ้าคณะเมือง (ม่วง เปรียญ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระศิริธรรมมุนี เจ้าคณะเมือง ได้แต่งตั้งให้พ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันแต่นั้นมา
ประวัติวัดสวนขัน
วัดสวนขันเป็นวัดราษฎร์ เดิมตั้งอยู่ที่ วัดราษฎร์บำรุง ปัจจุบันชาวบ้านเรียกวัดคุดด้วน เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งคลองคุดด้วน มีพระปลัดคงเป็นเจ้าอาวาส แต่ที่ตั้งเป็นที่ไม่เหมาะบางประการ เนื่องจากฤดูน้ำก็ถูกน้ำท่วมบ่อยๆและสถานที่คับแคบ จึงทำการย้ายวัดขึ้นไปทางเหนือของคลองคุดด้วน สร้างวัดขึ้นมาใหม่ในป่าไม้ขันอันเป็นที่สวนของอุบาสกผู้มีศรัทธาถวายให้วัด และพร้อมใจกันตั้งชื่อวัดว่า วัดสวนขัน
วัดสวนขันปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลสวนขัน อำเภอช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช พระปลัดคงได้เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระปลัดคงเป็นลูกศิษย์ของพระครูกราย ต่อมาลาสิกขาบทพระครูกรายเสนอพ่อท่านคล้ายให้เป็นพ่อท่านคล้าย ตลอดมาเป็นเวลา 65 ปี จนถึงวันมรณภาพ
พ่อท่านคล้ายมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง เช่น เป็นนักก่อสร้าง นักประพันธ์ นักปฏิบัติทางวิปัสสนา เป็นต้น ทางด้านนักประพันธ์นั้น พ่อท่านเคยแต่งบทกลอนกำดัดนาคไว้ น่าฟัง ดังนี้
ศีลสิบโดยตั้ง รักษาโดยหวัง
องค์ศีลทั่วผอง สองร้อยยี่สิบเจ็ด
สิ้นเสร็จควรตรอง ศีลสิบหม่นหมองสองร้อยมรณา
สมณศักดิ์พ่อท่านคล้าย
ได้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี พ.ศ.2498 ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม แต่ประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามชื่อเดิมว่า พ่อท่านคล้าย
ตำแหน่ง
ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. 2445 จนมรณภาพ
เป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย ใน พ.ศ.2500 เนื่องจากมีการสร้างถนนผ่านกลางวัดจันดีหรือวัดทุ่งปอน ทำให้วัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนได้ประชุมตกลงสร้างวัดใหม่ในเนื้อที่ที่แยกออกไป เรียกว่า วัดพระธาตุน้อย และแต่งตั้งให้พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นเจ้าอาวาส เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว วัดนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว
งานด้านศาสนา
พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์ พระพุทธรูป และร่วมกันในการปฏิสังขรณ์บูรณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก เช่น พ.ศ. 2490 สร้างวัดมะปรางงาม ตำบลละอาย อำเภอฉวาง พ.ศ. 2500 สร้างวัดพิศิษฐ์อรรถราม โดยทายาทอึ่งค่ายท่ายถวายที่ดินใกล้ตลาดนาบอน และวัดที่สำคัญที่สุดคือวัดพระธาตุน้อย หรือคนทั่วไปเรียกว่า วัดพ่อท่านคล้าย
พ่อท่านคล้ายได้สร้างพระเจดีย์ไว้หลายองค์ ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขัน เจดีย์บ้านควนสวรรค์ ตำบลนาแว อำเภอฉวาง เจดีย์วัดยางค้อม อำเภอปูน และที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขันอำเภอพระแสง และเจดีย์หน้าถ้ำขมิ้น บนภูเขาอำเภอนาสาร
พ่อท่านคล้าย สร้างวัดพระธาตุน้อยและเจดีย์
ปี พ.ศ.2505 นายกลับ งามพร้อม อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง ได้ยกที่ดินโคกไม้แดง มีเนื้อที่ 40 ไร่ ถวายพ่อท่านโดยมอบให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ที่ดินแปลงนี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟคลองจันดี ประมาณ 1 กิโลเมตร พระครูพิศิษฐ์อรรถการได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้นในที่ดินแปลงนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อ 14 มกราคม 2505 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่นายประคอง ช่วยเพ็ชร ถวายมาจากกว๊านพะเยา (ปัจจุบันเป็นจังหวัดพะเยา) โดยยึดรูปแบบมาจากวัดพระมหาธาตุทั้งหมด ทุนรอนในการก่อสร้างได้มาจาก พ่อค้า คหบดี ข้าราชการ และประชาชน ฝ่ายสงฆ์มีพระใบฏีกาครื้น โสภโณ เจ้าอาวาสวัดจันดีในสมัยนั้น เป็นผู้อำนวยการสร้าง ฝ่ายฆราวาสมี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช เป็นประธาน พระเจดีย์องค์นี้มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 27 เมตร สูง 70 เมตร การก่อสร้างสำเร็จในปี พ.ศ. 2513 องค์พระเจดีย์ มองเห็นเด่นแต่ไกล ถ้านั่งรถไฟเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ก่อนขบวนรถจะถึงสถานีคลองจันดี จะมองเห็นพระเจดีย์อยู่ทางซ้ายมือ
งานด้านพัฒนาท้องถิ่น
พ่อท่านคล้าย จัดได้ว่าเป็นนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ตลอดชีวิต ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ได้เดินทางไปพัฒนาในที่ต่าง ๆ มากมาย สร้างถนน สะพานมากมาย ด้วยเมตตาบารมีและความเคารพศรัทธาของศิษย์และประชาชน ดังเช่น สร้างถนนเข้าวัดจันดี ถนนจากตำบลละอายไปพิปูน ถนนจากวัดสวนขันไปยังสถานีรถไฟคลองจันดี ถนนจากตำบลละอายไปนาแว ถนนระหว่างหมู่บ้านในตำบลละอาย สะพานข้ามคลองคุดด้วนเข้าวัดสวนขัน สะพานข้ามแม่น้ำตาปีจากตลาดทานพอไปนาแว สะพานข้ามคลองเสหลา หน้าวัดมะปรางงาม สะพานข้ามคลองจันดี เป็นต้น
ด้านความมีเมตตาและวาจาสิทธิ์
ศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือ ศรัทธาพ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น พ่อท่านคล้ายจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและแจ่มใสอารมณ์เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา ท่านมักจะให้พรกับทุกคน "ขอให้เป็นสุข เป็นสุข" ผู้ที่เคารพนับถือท่านต่างพากันกลัวคำตำหนิ เพราะผู้ที่ถูกตำหนิทุกรายล้วนแต่พบความวิบัติ คนส่วนมากจึงหวังที่จะได้รับคำอวยพร เพราะคำเหล่านั้นเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำทั้งในทางดีและทางเสื่อมเสีย
คนที่ไปนมัสการ "พ่อท่านคล้าย" หวังที่จะได้วัตถุมงคล บ้างขอน้ำมนต์ ชานหมาก แหวน ผ้ายันต์ เหรียญ รูปหล่อ รูปพิมพ์ ซึ่งพ่อท่านคล้ายก็ได้มีเมตตาให้กับทุกคน ยิ่งชานหมากของท่านหากใครได้รับจากมือท่านเป็นต้องหวงแหนอย่างที่สุด
จุดเด่นของพ่อท่าน
1. วัยวุฒิ พ่อท่านอายุยืนถึง 76 พรรษา แม้พระสังฆราชวัดสระเกศ
( อยู่ ญาโณทยฺ ) ก็ทรงเล่าให้ผู้อื่นฟังว่า เมื่อพูดถึงหลวงพ่อคล้ายแล้ว ท่านไม่ใช่คนธรรมดา
อาจเป็นเทวดาก็ได้
2. คุณวุฒิ ท่านมีคุณธรรมหรือเรียกว่า อริยทรัพย์ภายในตัวของท่าน
3. ปัญญาวุฒิ ท่านเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ทันคน
พระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนานิมนต์เข้าพระราชวัง
กิตติศัพท์ทางคุณงามความดีของพ่อท่านคล้ายทรงทราบถึงในหลวงรัชกาลปัจจุบันทรงมีความสนพระทัยและศรัทธาจึงทรงพระกรุณาให้นิมนต์พ่อท่านคล้ายเข้ารับพระราชทานภัทรกิจในพระราชวังสวนจิตรลดา
เมื่อพ่อท่านคล้ายกลับวัดลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันไปกราบที่บนกุฏิเพื่อให้ท่านเล่าให้ฟัง ท่านลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เจ้าพนักงานนำท่านเข้าไปนั่งรอภายในห้องต้อนรับ ขณะที่รอในหลวงเสด็จออกท่านว่า “หัวใจมันเต้นแรงเหมือนนั่งอยู่ปากถ้ำพระยาราชสีย์ยังไงยังงั้น” เมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ก้มกราบทำให้อิ่มใจพองคับอก ชื่นชมในพระบารมี ช่างงดงามเป็นสง่าน่าเกรงขามยิ่งนัก ในหลวงทรงสนทนาไต่ถาม โดยมีพระปลัดสุพจน์คอยชี้แจงถวายระหว่างสำเนียงปักษ์ใต้กับภาษากลาง จนในที่สุดในหลวงทรงก้มพระเศียรเข้าใกล้พ่อท่านคล้ายด้วยพระราชประสงค์ให้ท่านรดน้ำมนต์ พรมพระเศียรให้พร ด้วยทรงพระราชศรัทธาเคารพ ถึงตรงนี้พ่อท่านคล้ายพูดว่า “กูขนพองไปหมด พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงกฤดาภินิหาร ครองบ้านครองเมือง จะมาก้มให้พระป่าสามัญลูบพระเศียรได้ ท่านเป็นเทวดาของปวงชน” ท่านเลยทูลว่า “มหาบพิตรได้ทรงโปรดยื่นพระหัตถ์มาเถิด” ในหลวงทรงเงยพระพักตร์ยิ้มและทรงยื่นพระหัตถ์ทั้งสองให้พ่อท่านคล้ายจับขึ้นเสมออกอธิษฐานพระชัยมนต์คาถาถวาย แล้วรดน้ำมนต์ใส่ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์เอง พร้อมถวายพระพรตลอดเวลา ในหลวงทรงอิ่มเอิบปลาบปลื้มพระราชหฤทัยและทรงปวารณาทรงรับอุปัฏฐากเป็นส่วนพระองค์
ครั้นลูกศิษย์ถามท่านว่า “พ่อท่านถวายของดีอะไรหรือเปล่า” ท่านตอบว่า “ไม่ให้เทวดาผู้เป็นยอดคนแล้ว จะให้ใครเล่า” และกล่าวอีกว่า “ในหลวงพ่อองค์นี้ ทรงบุญญาภินิหาร ทรงทศพิธราชธรรมบริบูรณ์”
พ่อท่านคล้าย มรณภาพ
พ่อท่านคล้ายหรือพระครูพิศิษฐ์อรรถการ เมื่อครั้นถึงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2513 ตรงกับแรม 9 ค่ำ เดือน 12 ปีจอ พ่อท่านจะต้องเดินทางไปจังหวัดสุรินทร์ เนื่องในงานพุทธาภิเษกที่คณะพุทธบริษัทจังหวัดนั้นนิมนต์ไว้ เวลา 16.00 น. ของวันเดินทาง คณะศิษย์เป็นว่าพ่อท่านอาพาธกะทันหัน จึงนิมนต์พ่อท่านขึ้นรถด่วนเข้ากรุงเทพ ถึงวันรุ่งขึ้นได้นำพ่อท่านเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎในวันนั้น แพทย์ได้พยายามรักษาจนเต็มความสามารถ เป็นเวลา 14 วัน อาการมีแต่ทรงกับทรุด ครั้นถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2513 เวลา 23.05 น. พ่อท่านคล้าย มรณภาพด้วยอาการสงบ รวมอายุได้ 96 ปี เมื่อบำเพ็ญกุศลครบ 100 วัน จึงได้บรรจุสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ใน วัดพระธาตุน้อยจนถึงปัจจุบัน
วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ประวัติ พ่อท่านล่อง วัดสุขุม prathaiamata
ประวัติพ่อท่านล่อง วัดสุขุม
พ่อท่านล่อง ขันธวัณโณ (พระครูสุขุมธรรมพินิจ) วัดสุขุม จังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างราว พ.ศ. 2511 ราวประมาณ 1000 เหรียญเท่านั้น พ่อท่านล่องเสก พุทธคุณเด่นทางเมตตาแคล้วคลาดเป็นเลิศ พ่อท่านล่อง วัดสุขุม นครศรีฯ เป็น สหธรรมมิก พ่อท่านเขียว อินทมุณี วัดหรงบน ได้รับการยกย่องที่สุดว่าล้ำเลิศ ด้วย อภิญญายิ่ง พระอาจารย์ผู้มีปาฏิหาริย์อัศจรรย์ มรณภาพร่างกายไม่เน่าเปื่อย แข็งเป็นหินผมและเล็บงอกได้ พ่อท่านล่อง ขันธวัณโณ วัดสุขุม จ.นครศรธรรมราช ถึงแก่กาลมรณภาพด้วยสิริอายุถึง ๑๐๑ ปี เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔
พ่อท่านล่อง วัดสุขุม มีคุณธรรมอัศจรรย์ตั้งแต่แรกเกิด กล่าวคือ คลอดง่ายมาก โยมมารดาปวดท้องท้องเหมือนปวดปัสสาวะธรรมดา จึงคลอดตกลงล่องใต้ถุนบ้านขณะที่น้ำยังท่วมอยู่กว่าจะอุ้มขึ้นมาได้กินเวลาหลายนาที แต่ท่านก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
จึงได้ชื่อว่า ล่อง ในสมัยที่เป็นฆราวาส ทดสอบวิชามหาเสน่ห์จนสาวๆ พากันหลงไหลแย่งชิงกันจนวุ่นวายเลยละอายใจหนีไปบวชไม่สึก พ่อท่านล่องเป็นคนที่มีใจหนักแน่นเหนือกว่าคนธรรมดา พ่อท่านล่องเคยถูกงูพิษกัด แต่ท่านใช้พระคาถาดับพิษงูด้วยความมั่นคงจนหายดี นับเป็นอิทธิปาฏิหาริย์อีกประการหนึ่ง
เมื่อพ่อท่านล่องได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครู มีกิจนิมนต์มาก เดินทางไปรถโดยสาร เกิดพลิกคว่ำหลายตลบไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย ขนาดใบจักรเรือหางยาวที่นายท้ายเรือ ยกมาถูกศีรษะอย่างจังยังไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย นับเป็นปาฏิหาริย์ที่ญาติโยมเห็นกันทั้งเรือ
ทางด้านพระเครื่องรางของขลัง ของท่านล่องก็มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์หลายอย่างเลื่องลือ พ่อท่านล่องได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกกับพระสหธรรมมิกที่คุ้นเคยกันมาก เช่น พ่อท่านเมือง วัดท่าพญา หลวงปู่เขียว วัดหรงบน หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ หลวงพ่อแก่น วัดทุ่งหล่อ หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง และหลวงพ่อกล่ำ วัดศาลาบางปู เป็นต้น
พ่อท่านล่อง ขันธวัณโณ (พระครูสุขุมธรรมพินิจ) วัดสุขุม จังหวัดนครศรีธรรมราช สร้างราว พ.ศ. 2511 ราวประมาณ 1000 เหรียญเท่านั้น พ่อท่านล่องเสก พุทธคุณเด่นทางเมตตาแคล้วคลาดเป็นเลิศ พ่อท่านล่อง วัดสุขุม นครศรีฯ เป็น สหธรรมมิก พ่อท่านเขียว อินทมุณี วัดหรงบน ได้รับการยกย่องที่สุดว่าล้ำเลิศ ด้วย อภิญญายิ่ง พระอาจารย์ผู้มีปาฏิหาริย์อัศจรรย์ มรณภาพร่างกายไม่เน่าเปื่อย แข็งเป็นหินผมและเล็บงอกได้ พ่อท่านล่อง ขันธวัณโณ วัดสุขุม จ.นครศรธรรมราช ถึงแก่กาลมรณภาพด้วยสิริอายุถึง ๑๐๑ ปี เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔
พ่อท่านล่อง วัดสุขุม มีคุณธรรมอัศจรรย์ตั้งแต่แรกเกิด กล่าวคือ คลอดง่ายมาก โยมมารดาปวดท้องท้องเหมือนปวดปัสสาวะธรรมดา จึงคลอดตกลงล่องใต้ถุนบ้านขณะที่น้ำยังท่วมอยู่กว่าจะอุ้มขึ้นมาได้กินเวลาหลายนาที แต่ท่านก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
จึงได้ชื่อว่า ล่อง ในสมัยที่เป็นฆราวาส ทดสอบวิชามหาเสน่ห์จนสาวๆ พากันหลงไหลแย่งชิงกันจนวุ่นวายเลยละอายใจหนีไปบวชไม่สึก พ่อท่านล่องเป็นคนที่มีใจหนักแน่นเหนือกว่าคนธรรมดา พ่อท่านล่องเคยถูกงูพิษกัด แต่ท่านใช้พระคาถาดับพิษงูด้วยความมั่นคงจนหายดี นับเป็นอิทธิปาฏิหาริย์อีกประการหนึ่ง
เมื่อพ่อท่านล่องได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครู มีกิจนิมนต์มาก เดินทางไปรถโดยสาร เกิดพลิกคว่ำหลายตลบไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย ขนาดใบจักรเรือหางยาวที่นายท้ายเรือ ยกมาถูกศีรษะอย่างจังยังไม่ระคายผิวแม้แต่น้อย นับเป็นปาฏิหาริย์ที่ญาติโยมเห็นกันทั้งเรือ
ทางด้านพระเครื่องรางของขลัง ของท่านล่องก็มีประสบการณ์ปาฏิหาริย์หลายอย่างเลื่องลือ พ่อท่านล่องได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกกับพระสหธรรมมิกที่คุ้นเคยกันมาก เช่น พ่อท่านเมือง วัดท่าพญา หลวงปู่เขียว วัดหรงบน หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ หลวงพ่อแก่น วัดทุ่งหล่อ หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง และหลวงพ่อกล่ำ วัดศาลาบางปู เป็นต้น
วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ประวัติ พระครูกาแก้ว(หมุน) หรือ พระศรีธรรมราชมุนี prathaiamata
พระครูกาแก้ว(หมุน) หรือ พระศรีธรรมราชมุนี
อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช วัดหน้าพระบรมธาตุ อ.เมือง นครศรีธรรมราช นับเป็นยอดพระเกจิที่เลื่องชื่อในด้านอาคมและความขลังในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้สร้างเหรียญขลังด้านหลังเขียนว่า ชิตังเม (แปลว่าชัยชนะมีแก่เรา) ท่านพระครูกาแก้ว (หมุน) เกิดปี 2425 เมื่อวัยเด็กบิดามารดานำไปฝากเรียนหนังสืออยู่ที่วัดท่าโพธิ์ อยู่กับเจ้าคุณม่วงหรือพระรัตนธัชมุนี ซึ่งก็เป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดรุ่นก่อนและมีชื่อเสียงด้านวิทยาคม เจ้าของเหรียญหลักประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช เหรียญรุ่นแรกเจ้าคุณม่วง สร้างปี 2476 สำหรับพระครูกาแก้ว(หมุน) นับเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณม่วง นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาวิชาอาคมได้การทำผงอิทธิเจกับพระครูกาชาด(ย่อง) วัดวัง และอีกหลายคณาจารย์ในยุคนั้น ที่นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวนครศรีธรรมราช เพราะพระครูกาแก้ว(หมุน) ได้รับนิมนต์เข้าร่วมปลุกเสกพระเครื่องของวัดราชบพิธ 1 ใน 108 องค์ เมื่อปี 2481 ในสมัยนั้นพระเกจิที่ได้รับเชิญมาแต่ละองค์ล้วนแต่สุดยอดจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่อจัน วัดนางหนู หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก หลวงพ่อพูล วัดตาลล้อม หลวงพ่อแดง วัดใหญ่อินทาราม หลวงพ่อศรี วัดพลับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์(ส่งหลวงพ่อจันทร์ วัดคลองระนง มาแทน) หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม หลวงพ่อทอง วัดเขากบ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย หลวงพ่ออาจ วัดดอนไก่ดี หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก หลวงพ่อเผือก วัดกิ่งแก้ว เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยในเรื่องความสามารถด้านวิชาอาคมของพระครูกาแก้ว(หมุน) ถ้าไม่แน่จริงมาไม่ได้ครับ ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช ในตอนนั้นได้เกิดการสู้รบขึ้นระหว่างทหารไทยกับญี่ปุ่น ที่ท่าแพ นครศรีธรรมราช ในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ทหารไทยเสียชีวิต 38 ศพ ส่วนหทารญี่ปุ่นก็เสียชีวิตจำนวนมาก ต่อมาทางไทยได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในคราวนั้น ในสภาวะสงครามคราวนั้น ท่านพระครูกาแก้ว(หมุน) ได้จัดสร้างวัตถุมงคลให้ชาวบ้านและทหารไว้ป้องกันตัว ประกอบด้วย เหรียญรูปท่าน พระผงผสมชันโรง ปี 2485 เป็นต้น สำหรับพระผงผสมชันโรง ทำการกดพิมพ์พระในพระอุโบสถ วัดหน้าพระบรมธาตุ นำไปปลุกเสกที่วัดศาลามีชัย เพื่อถือเคล็ดให้มีชัยชนะ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2485 ในคราวนั้นมียอดพระเกจิแดนใต้เข้าร่วมปลุกเสกหลายองค์ เช่น พ่อท่านพุ่ม วัดจันพอ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน พ่อท่านคง วัดร่อนนา พระครูสุนทร วัดดินดอน พ่อท่านเอียดดำ วัดศาลาไพ พระครูกาแก้ว(หมุน) เป็นต้น พระผงผสมชันโรง จะมีขนาดพระใกล้เคียงกับสมเด็จวัดปากน้ำ ประกอบด้วยมวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่หายากมากมายเช่น ผงพระพุทธคุณพระพุทธนมิตร นะโมย่องตาม้า นะโมถอดรูป นะโมถอดห่วง ปถมังพินธุ ปถมังโลกีย์ ปถมังโลกุตตร์ ตรีนิสิงเห นะปัดตลอด ว่าน108 ผงแตกหักวัดท่าโพธิ์ใต้ และชันโรง ในส่วนของชันโรง สำคัญมากโดยโบราณเชื่อว่าชันโรงช่วยรักษาของดีที่อยู่ในองค์พระ มีเสน่ห์ทางเมตตามหานิยม ดังนั้นหากผู้ใดได้ครอบครองวัตถุมงคลที่สร้างด้วยชันโรง ถือว่ามีของดีวิเศษคู่กาย ยิ่งพระเครื่องพระผงผสมชันโรง พระครูกาแก้ว (หมุน) มีสุดยอดพระเกจิแดนใต้หลายองค์มาร่วมปลุกเสก มีความตั้งใจเน้นให้คุ้มครองป้องกันอันตราย ในยามสงคราม จึงปราศจากความสงสัยในด้านพุทธคุณ พระครูกาแก้ว(หมุน) มรณภาพเมื่อปี 2498 สิริอายุ 73 ปี
ร้านขอเสนอ พระผงผสมชันโรง พระครูกาแก้ว (หมุน) วัดหน้าพระบรมธาตุ ปี 2485 สุดยอดของดีแห่งการคุ้มครองอันตรายและเมตตามหานิยม ซึ่งบรรดาพระเกจิแดนใต้แห่งยุคนั้นร่วมกันอธิษฐานจิตปลุกเสก พระผงผสมชันโรง พระครูกาแก้ว(หมุน) หายากมากๆกว่าพวกเหรียญมากครับ เพราะพระผงเก็บรักษายาก ยิ่งพระรุ่นนี้อายุปาเข้าไปกว่า 70 ปีสูญหายแตกหักไปกับการเวลาก็เยอะ ในพื้นที่ใครมีพระรุ่นนี้ก็หวงๆ นานปีอาจมีใครมาโชว์สักองค์ สำหรับพระองค์ที่เรานำเสนอนี้สภาพสวยมากๆครับ สมบูรณ์ไม่มีบิ่นหัก ฟอร์มดี ยิ่งส่องยิ่งมันส์ พระเครื่องรุ่นนี้ใครได้ไปถือว่ามีโชคดีมากๆ เงินทองหมื่นแสนหาไม่ยากครับเมื่อเทียบกับคุณค่าของพระองค์นี้ ที่เรานำออกมาให้ท่านที่ศรัทธาไว้บูชา เพราะเราไม่อยากเห็นพระดีๆต้องกลายเป็นตำนาน หายสาบสูญไปกับเวลา เดี่ยวนี้คนจะรู้จักแต่พระเกจิเก่งเชียร์เยอะครับ ตัวพระเกจิยุคใหม่บางองค์ที่เจอ บางองค์ไม่ได้เก่งและมีคุณธรรมให้น่ากราบไหว้เหมือนพวกที่เขียนเชียร์ ถ้าท่านใดศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยตรงรับรองท่านสามารถแยกพระที่ควรกราบไหว้กับพระอุปโลกน์ได้แน่นอน
อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช วัดหน้าพระบรมธาตุ อ.เมือง นครศรีธรรมราช นับเป็นยอดพระเกจิที่เลื่องชื่อในด้านอาคมและความขลังในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้สร้างเหรียญขลังด้านหลังเขียนว่า ชิตังเม (แปลว่าชัยชนะมีแก่เรา) ท่านพระครูกาแก้ว (หมุน) เกิดปี 2425 เมื่อวัยเด็กบิดามารดานำไปฝากเรียนหนังสืออยู่ที่วัดท่าโพธิ์ อยู่กับเจ้าคุณม่วงหรือพระรัตนธัชมุนี ซึ่งก็เป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดรุ่นก่อนและมีชื่อเสียงด้านวิทยาคม เจ้าของเหรียญหลักประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช เหรียญรุ่นแรกเจ้าคุณม่วง สร้างปี 2476 สำหรับพระครูกาแก้ว(หมุน) นับเป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณม่วง นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาวิชาอาคมได้การทำผงอิทธิเจกับพระครูกาชาด(ย่อง) วัดวัง และอีกหลายคณาจารย์ในยุคนั้น ที่นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวนครศรีธรรมราช เพราะพระครูกาแก้ว(หมุน) ได้รับนิมนต์เข้าร่วมปลุกเสกพระเครื่องของวัดราชบพิธ 1 ใน 108 องค์ เมื่อปี 2481 ในสมัยนั้นพระเกจิที่ได้รับเชิญมาแต่ละองค์ล้วนแต่สุดยอดจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อจาด วัดบางกะเบา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ หลวงพ่อจัน วัดนางหนู หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่นอก หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก หลวงพ่อพูล วัดตาลล้อม หลวงพ่อแดง วัดใหญ่อินทาราม หลวงพ่อศรี วัดพลับ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์(ส่งหลวงพ่อจันทร์ วัดคลองระนง มาแทน) หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว หลวงพ่อคง วัดบางกะพร้อม หลวงพ่อทอง วัดเขากบ หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย หลวงพ่ออาจ วัดดอนไก่ดี หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก หลวงพ่อเผือก วัดกิ่งแก้ว เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยในเรื่องความสามารถด้านวิชาอาคมของพระครูกาแก้ว(หมุน) ถ้าไม่แน่จริงมาไม่ได้ครับ ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนครศรีธรรมราช ในตอนนั้นได้เกิดการสู้รบขึ้นระหว่างทหารไทยกับญี่ปุ่น ที่ท่าแพ นครศรีธรรมราช ในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ทหารไทยเสียชีวิต 38 ศพ ส่วนหทารญี่ปุ่นก็เสียชีวิตจำนวนมาก ต่อมาทางไทยได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในคราวนั้น ในสภาวะสงครามคราวนั้น ท่านพระครูกาแก้ว(หมุน) ได้จัดสร้างวัตถุมงคลให้ชาวบ้านและทหารไว้ป้องกันตัว ประกอบด้วย เหรียญรูปท่าน พระผงผสมชันโรง ปี 2485 เป็นต้น สำหรับพระผงผสมชันโรง ทำการกดพิมพ์พระในพระอุโบสถ วัดหน้าพระบรมธาตุ นำไปปลุกเสกที่วัดศาลามีชัย เพื่อถือเคล็ดให้มีชัยชนะ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2485 ในคราวนั้นมียอดพระเกจิแดนใต้เข้าร่วมปลุกเสกหลายองค์ เช่น พ่อท่านพุ่ม วัดจันพอ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน พ่อท่านคง วัดร่อนนา พระครูสุนทร วัดดินดอน พ่อท่านเอียดดำ วัดศาลาไพ พระครูกาแก้ว(หมุน) เป็นต้น พระผงผสมชันโรง จะมีขนาดพระใกล้เคียงกับสมเด็จวัดปากน้ำ ประกอบด้วยมวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่หายากมากมายเช่น ผงพระพุทธคุณพระพุทธนมิตร นะโมย่องตาม้า นะโมถอดรูป นะโมถอดห่วง ปถมังพินธุ ปถมังโลกีย์ ปถมังโลกุตตร์ ตรีนิสิงเห นะปัดตลอด ว่าน108 ผงแตกหักวัดท่าโพธิ์ใต้ และชันโรง ในส่วนของชันโรง สำคัญมากโดยโบราณเชื่อว่าชันโรงช่วยรักษาของดีที่อยู่ในองค์พระ มีเสน่ห์ทางเมตตามหานิยม ดังนั้นหากผู้ใดได้ครอบครองวัตถุมงคลที่สร้างด้วยชันโรง ถือว่ามีของดีวิเศษคู่กาย ยิ่งพระเครื่องพระผงผสมชันโรง พระครูกาแก้ว (หมุน) มีสุดยอดพระเกจิแดนใต้หลายองค์มาร่วมปลุกเสก มีความตั้งใจเน้นให้คุ้มครองป้องกันอันตราย ในยามสงคราม จึงปราศจากความสงสัยในด้านพุทธคุณ พระครูกาแก้ว(หมุน) มรณภาพเมื่อปี 2498 สิริอายุ 73 ปี
ร้านขอเสนอ พระผงผสมชันโรง พระครูกาแก้ว (หมุน) วัดหน้าพระบรมธาตุ ปี 2485 สุดยอดของดีแห่งการคุ้มครองอันตรายและเมตตามหานิยม ซึ่งบรรดาพระเกจิแดนใต้แห่งยุคนั้นร่วมกันอธิษฐานจิตปลุกเสก พระผงผสมชันโรง พระครูกาแก้ว(หมุน) หายากมากๆกว่าพวกเหรียญมากครับ เพราะพระผงเก็บรักษายาก ยิ่งพระรุ่นนี้อายุปาเข้าไปกว่า 70 ปีสูญหายแตกหักไปกับการเวลาก็เยอะ ในพื้นที่ใครมีพระรุ่นนี้ก็หวงๆ นานปีอาจมีใครมาโชว์สักองค์ สำหรับพระองค์ที่เรานำเสนอนี้สภาพสวยมากๆครับ สมบูรณ์ไม่มีบิ่นหัก ฟอร์มดี ยิ่งส่องยิ่งมันส์ พระเครื่องรุ่นนี้ใครได้ไปถือว่ามีโชคดีมากๆ เงินทองหมื่นแสนหาไม่ยากครับเมื่อเทียบกับคุณค่าของพระองค์นี้ ที่เรานำออกมาให้ท่านที่ศรัทธาไว้บูชา เพราะเราไม่อยากเห็นพระดีๆต้องกลายเป็นตำนาน หายสาบสูญไปกับเวลา เดี่ยวนี้คนจะรู้จักแต่พระเกจิเก่งเชียร์เยอะครับ ตัวพระเกจิยุคใหม่บางองค์ที่เจอ บางองค์ไม่ได้เก่งและมีคุณธรรมให้น่ากราบไหว้เหมือนพวกที่เขียนเชียร์ ถ้าท่านใดศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าโดยตรงรับรองท่านสามารถแยกพระที่ควรกราบไหว้กับพระอุปโลกน์ได้แน่นอน
วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ประวัติ หลวงพ่อหมุน ยสโร วัดเขาแดงตะวันออก prathaiamata
ประวัติ หลวงพ่อหมุน ยสโร วัดเขาแดงตะวันออก
หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดงตะวันออก"พระครูถาวรชัยคุณ" หรือ "หลวงพ่อหมุน ยสโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาแดงตะวันออก ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพัทลุงและภาคใต้
หลวงพ่อหมุนเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติน่ายกย่อง และมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับยาสมุนไพรแผนโบราณ เข้มขลังวิทยาคม เป็นที่นับถือเลื่อมใสของชาวเมืองพัทลุงทั่วไป
อัตโนประวัติหลวงพ่อหมุน มีนามเดิมว่า หมุน วรรณศรี เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2440 ตรงกับวันเสาร์ แรม 8 ค่ำ เดือน 5 ปีระกา (ร.ศ.116) ณ บ้านม่วง หมู่ที่ 6 ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง
ในช่วงวัยเยาว์ เมื่ออายุ 6 ขวบ โยมบิดามารดาได้นำไปฝากกับวัดเขาแดง มีหลวงพ่อเอียด เป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น เพื่อให้ ด.ช.หมุนได้ศึกษาเล่าเรียนและฝึกฝนการวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยความตั้งใจ กระทั่งอายุ 17 ปี ด.ช.หมุนจึงได้บรรพชา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2457 ณ วัดปรางหมู่ใน อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระครูอินทโมฬี เป็นพระอุปัชฌาย์
เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ สามเณรหมุนได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2460 ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ พัทธสีมา วัดควนกรวด อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระอธิการรอด วัดควนกรวด เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ดิษฐ์ หรือพระครูเนกขัมมาภิมณฑ์ วัดปากสระ ต.ชัยบุรี อ.เมืองพัทลุง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า ยสโร
หลังจากที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาแดงตะวันออกโดยตลอด ต่อมาในปี พ.ศ.2471 ท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาแดง ในปี 2490
พ.ศ.2525 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูถาวรชัยคุณ
หลวงพ่อหมุนมีความรู้ในการฝึกฝนการวิปัสสนากัมมัฏฐาน และมีความสนใจในเรื่องวิทยาคมและไสยเวท โดยได้ไปเรียนวิชากับพระอาจารย์ทองเฒ่า อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ในขณะนั้น
นอกจากนี้ หลวงพ่อหมุนยังมีความรู้ด้านภาษาบาลี สามารถอ่านหนังสือขอมได้อย่างชำนาญ มีความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรแผนโบราณ จนเป็นที่เลื่องลือและเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดพัทลุงและภาคใต้ ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่ได้สร้างความเจริญให้กับวัดและชุมชนอีกมากมาย ตลอดเวลาในการครองตนหลวงพ่อหมุนยึดหลักเมตตาธรรมส่งผลให้พระภิกษุ-สามเณรในปกครองไม่เคยปฏิบัติออกนอกลู่นอกทาง แต่ละปีจึงมีพระภิกษุ สามเณร มาจำพรรษาศึกษาเล่าเรียนที่วัดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
สำหรับหัวข้อธรรมะที่ท่านพร่ำสอนญาติโยมจะมุ่งเน้นให้รักษาศีล 5 อย่าดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท และเป็นผู้มีเมตตาธรรมไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์ผู้เกิดแก่ เจ็บ ตาย ร่วมโลก หากกล่าวไปแล้วหลวงพ่อหมุนเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองพัทลุง ที่ได้รับการนิมนต์เข้าไปร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลในจังหวัดต่างๆ ทั่วภาคใต้ ทั้งพัทลุง สงขลา สตูล ตรัง และปัตตานี โดยได้ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลมาตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อหมุนล้วนเป็นที่นิยมแสวงหาของบรรดานักสะสมพระเครื่องและผู้สนใจทั่วไป ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายแบบ ทั้งเครื่องรางของขลังและพระเครื่อง เช่น พระลีลากำแพงเขย่ง พระปิดตา พระภควัม พระนางกวัก เหรียญรูปเหมือนใหญ่ เหรียญรูปเหมือนเล็ก พระเหมือนลอยองค์ พระเหมือนเนื้อว่าน พระรูปเหมือนผงสมเด็จ เสื้อยันต์ ตะกรุด ปลอกแขน-เอว ลูกอม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วัตถุมงคลรุ่นต่างๆ ของหลวงพ่อหมุนปัจจุบันนับว่าหาได้ค่อนข้างยากและมีราคาเช่าหาบูชาสูง
"หลวงพ่อหมุน ยสโร" ได้ละสังขารจากไปอย่างสงบเมื่อวันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2526 เวลา 02.00 น. สิริรวมอายุ 86 ปี พรรษา 65 การจากไปของหลวงพ่อหมุนครั้งนี้ได้สร้างความเศร้าสลดมาสู่ญาติโยมที่ศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
แม้สังขารหลวงพ่อหมุนจะแตกดับไปนานหลายสิบปี แต่คุณงามความดียังคงปรากฏอยู่ในใจชาวเมืองพัทลุงอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดงตะวันออก"พระครูถาวรชัยคุณ" หรือ "หลวงพ่อหมุน ยสโร" อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาแดงตะวันออก ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพัทลุงและภาคใต้
หลวงพ่อหมุนเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีวัตรปฏิบัติน่ายกย่อง และมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับยาสมุนไพรแผนโบราณ เข้มขลังวิทยาคม เป็นที่นับถือเลื่อมใสของชาวเมืองพัทลุงทั่วไป
อัตโนประวัติหลวงพ่อหมุน มีนามเดิมว่า หมุน วรรณศรี เกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2440 ตรงกับวันเสาร์ แรม 8 ค่ำ เดือน 5 ปีระกา (ร.ศ.116) ณ บ้านม่วง หมู่ที่ 6 ต.พญาขัน อ.เมือง จ.พัทลุง
ในช่วงวัยเยาว์ เมื่ออายุ 6 ขวบ โยมบิดามารดาได้นำไปฝากกับวัดเขาแดง มีหลวงพ่อเอียด เป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น เพื่อให้ ด.ช.หมุนได้ศึกษาเล่าเรียนและฝึกฝนการวิปัสสนากัมมัฏฐานด้วยความตั้งใจ กระทั่งอายุ 17 ปี ด.ช.หมุนจึงได้บรรพชา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2457 ณ วัดปรางหมู่ใน อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระครูอินทโมฬี เป็นพระอุปัชฌาย์
เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ สามเณรหมุนได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2460 ตรงกับวันขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ พัทธสีมา วัดควนกรวด อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีพระอธิการรอด วัดควนกรวด เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ดิษฐ์ หรือพระครูเนกขัมมาภิมณฑ์ วัดปากสระ ต.ชัยบุรี อ.เมืองพัทลุง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า ยสโร
หลังจากที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาแดงตะวันออกโดยตลอด ต่อมาในปี พ.ศ.2471 ท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเขาแดง ในปี 2490
พ.ศ.2525 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ที่พระครูถาวรชัยคุณ
หลวงพ่อหมุนมีความรู้ในการฝึกฝนการวิปัสสนากัมมัฏฐาน และมีความสนใจในเรื่องวิทยาคมและไสยเวท โดยได้ไปเรียนวิชากับพระอาจารย์ทองเฒ่า อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ ต.มะกอกเหนือ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ในขณะนั้น
นอกจากนี้ หลวงพ่อหมุนยังมีความรู้ด้านภาษาบาลี สามารถอ่านหนังสือขอมได้อย่างชำนาญ มีความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรแผนโบราณ จนเป็นที่เลื่องลือและเป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดพัทลุงและภาคใต้ ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่ได้สร้างความเจริญให้กับวัดและชุมชนอีกมากมาย ตลอดเวลาในการครองตนหลวงพ่อหมุนยึดหลักเมตตาธรรมส่งผลให้พระภิกษุ-สามเณรในปกครองไม่เคยปฏิบัติออกนอกลู่นอกทาง แต่ละปีจึงมีพระภิกษุ สามเณร มาจำพรรษาศึกษาเล่าเรียนที่วัดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
สำหรับหัวข้อธรรมะที่ท่านพร่ำสอนญาติโยมจะมุ่งเน้นให้รักษาศีล 5 อย่าดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท และเป็นผู้มีเมตตาธรรมไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์ผู้เกิดแก่ เจ็บ ตาย ร่วมโลก หากกล่าวไปแล้วหลวงพ่อหมุนเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองพัทลุง ที่ได้รับการนิมนต์เข้าไปร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลในจังหวัดต่างๆ ทั่วภาคใต้ ทั้งพัทลุง สงขลา สตูล ตรัง และปัตตานี โดยได้ร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลมาตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา
สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อหมุนล้วนเป็นที่นิยมแสวงหาของบรรดานักสะสมพระเครื่องและผู้สนใจทั่วไป ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายแบบ ทั้งเครื่องรางของขลังและพระเครื่อง เช่น พระลีลากำแพงเขย่ง พระปิดตา พระภควัม พระนางกวัก เหรียญรูปเหมือนใหญ่ เหรียญรูปเหมือนเล็ก พระเหมือนลอยองค์ พระเหมือนเนื้อว่าน พระรูปเหมือนผงสมเด็จ เสื้อยันต์ ตะกรุด ปลอกแขน-เอว ลูกอม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วัตถุมงคลรุ่นต่างๆ ของหลวงพ่อหมุนปัจจุบันนับว่าหาได้ค่อนข้างยากและมีราคาเช่าหาบูชาสูง
"หลวงพ่อหมุน ยสโร" ได้ละสังขารจากไปอย่างสงบเมื่อวันจันทร์ที่ 10 มกราคม 2526 เวลา 02.00 น. สิริรวมอายุ 86 ปี พรรษา 65 การจากไปของหลวงพ่อหมุนครั้งนี้ได้สร้างความเศร้าสลดมาสู่ญาติโยมที่ศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง
แม้สังขารหลวงพ่อหมุนจะแตกดับไปนานหลายสิบปี แต่คุณงามความดียังคงปรากฏอยู่ในใจชาวเมืองพัทลุงอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)